Ads

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

อ่านละครออนไลน์ คุ้มนางครวญ ออนไลน์ ตอนที่ 4

อ่านละครออนไลน์ – อ่านละครคุ้มนางครวญ ออนไลน์ ตอนที่ 4


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 4

วันหนึ่ง ภายในห้องประชุมบริษัทละครของฐาปกรณ์ บนโต๊ะประชุมใหญ่ เบิ้ม คนหาโลเคชั่น ตัวเล็กๆหน้าซีดๆ เอาบอร์ดติดรูปโลเคชั่นที่ไปสำรวจเบื้องต้นมาวางบนโต๊ะ โดยตั้งพิงกับกองหนังสือ

บนบอร์ดมีรูปเลือนกาแล หลายหลัง แต่ละหลังดูเล็กๆ ดำๆ สภาพทรุดโทรม ติดคำบรรยาย เช่น คุ้มหลวง หอคำ เรือนยอดหล้า เรือนดาราราย และยังมีรูปวัดโบราณล้านนา รูปโขงประตู บางวัดก็เป็นวัดใหม่
ฐาปกรณ์ มาดามสุ และรักผู้ช่วยผู้กำกับ ลูกกบ ธุรกิจสาวเปรี้ยว เข้าร่วมดูด้วย ตรงหน้าฐาปกรณ์ ยังมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค มีรูปชุดเดียวกับบนบอร์ด แต่หลายมุมกว่า ฐาปกรณ์ยิ่งคลิกดูก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“ไอ้เบิ้มโลเคชั่นเมืองเหนือสมัย 200 ปีก่อนอะไรของมึงห๊ะ มีทั้งพระคเณศ ทั้งเจ้าแม่กวนอิม"
ลูกกบแขวะ “เทพกวนอูก็มีค่ะ"
เบิ้มเชิดหน้าน้อยใจจนน้ำตาคลอ
“ก็หลบมุมถ่ายเอาซีครับ"
“หลบมุมยังไงก็ยังไม่ได้ มันต้องดูหรูหรา ดูแกรนด์กว่านี้" ฐาปกรณ์บ่น
สุชาดาหมั่นไส้ “อุ๊ย เรื่องมาก นี่ก็ดูสวยแล้ว เคาะเถอะ จะได้ทำงานกันเสียที"
“เคาะไม่ลง นี่คุณ โจทย์ที่เจ้าให้มาน่ะ คือ โชว์ศิลปวัฒนธรรม แถมเรื่องก็เป็นเรื่องเจ้า จะให้ไปถ่ายตามวัดเหมือนเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ มันไม่ได้หรอกนะ"
สุชาดาพูดประสาขี้งก “วัดพวกนี้น่ะคุยกันง่าย ใส่ซองห้าพันก็พอแล้วจะถ่ายกี่วันก็ได้"
“ไม่เอา ไม่เห็นมีความสวยตรงไหน" ฐาปกรณ์ยืนยัน
“ยิ่งสวย ยิ่งหรู มันก็ยิ่งแพง ถ้าไปทุ่มทุนสร้าง มันจะมีกำไรได้ยังไง"
ฐาปกรณ์เสียงแข็ง
“อะไรที่แพงก็ต้องยอมแพง แล้วไปประหยัดอย่างอื่นเอา"
สุชาดาท้วง “แต่ว่า…"
ฐาปกรณ์ตัดบท “ไม่ต่งไม่แต่แล้ว ต้องหาโลเคชั่นใหม่ ไอ้เบิ้ม"
เบิ้มจ๋อย รับ “ครับ"
“แล้วจะเสียเวลาอีกกี่วันล่ะ ไหนว่าจะเปิดกล้องอาทิตย์หน้า"
ฐาปกรณ์ถอนใจเฮือก ทันใดมีอีเมล์เข้า ฐาปกรณ์อารมณ์เสีย คลิกดู
“อะไรอีกล่ะ หือม์.. จากไอ้แก้ว"
ในจอคอมพิวเตอร์ บอกว่ามีไฟล์รูปภาพขนาดใหญ่แนบมา ฐาปกรณ์กดโหลดดู แล้วตะลึงไป
ภาพที่ขึ้นมา เป็นภาพคุ้มใหญ่ที่ดูอลังการ จากนั้นเป็นหอคำ ภาพท้องพระโรงมีแท่นคำ เครื่องสูงต่างๆ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เบิ้ม ลูกกบ และ รัก เห็นท่าทีฐาปกรณ์ก็ยื่นหน้ามาดู แล้วก็อึ้งไป
“ดูอะไรกัน ฮะ คลิปฉาวเหรอ"
ฐาปกรณ์มองดูเมีย พูดอย่างระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
“เราได้โลเคชั่นแล้ว"

ตอนกลางวัน ในอีกวันหนึ่ง ห้องอเนกประสงค์ออฟฟิศฐาปกรณ์ กลายเป็นที่ชุมนุมผู้คน ด้วยวันนี้มีการนัดนางเอก พระเอก และนางรอง มาฟิตติ้งครั้งแรก ก่อนที่จะมีการฟิตติ้งจริงๆ กับทำข่าวในอาทิตย์หน้า แต่ในห้องอเนกประสงค์นั้นวุ่นวายราวตลาดสด เก้ง คอสตูม เดินกรายถือสไบตวัดไปมา มีมี่ มูมู่ มาคอยเป็นลูกมือ ลูกกบ ฐาปกรณ์ มาดามสุ รัก นั้นก็มาช่วยดู มาลารินในชุดเจ้านางดูสวยหวาน ปักปิ่นทอง ก้าวมาจากหลังฉาก กับเก้ง บีบี ในชุดกรุยกรายตามติด ลูกกบคอยถ่ายรูป รักถ่ายวิดีโอ
สุชาดาปลื้มปริ่ม “ตาย สวยมาก"
มาลารินยิ้มตาแป๋ว แต่บีบีไม่พอใจ
“นี่ แต่ทำไมปักปิ่นอันเดียว บทลินซี่เป็นพรินเซสไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงไม่ปักดอกไม้ไหวเยอะๆเต็มหัว"
เก้งอ้างข้อมูลทางประวัติศาสตร์ “ตามข้อมูลน่ะ เจ้านางแท้ๆ ก็แต่งเท่านี้ค่ะ"
บีบีแย้ง “แล้วที่มีดอกเยอะๆ ล่ะ"
“พวกดอกเยอะๆ น่ะ เห็นมีแต่โชว์กะเทย หรือไม่ก็ที่เขาโชว์กันตามสนามกีฬาให้ดูไกลๆ ค่ะ"
เก้งว่าพลางเชิดใส่ แต่บีบียังยืนกรานจะเอา ฐาปกรณ์สะกดกลั้นอารมณ์
บีบีถาม “คุณฐาขา ว่ายังไงคะ"
“ผมว่า ฉากทั่วๆไป แต่งแค่นี้ก็พอ เอาไว้แต่งแบบนั้นในพวกฉากใหญ่ๆ อย่างฉากงานแต่งดีไหมครับ"
บีบีท้วง “แต่มันไม่อลังนะคะ"
“เอายังงี้ค่ะ วันฟิตติ้งอาทิตย์หน้า มีทำข่าว ค่อยแต่งชุดใหญ่ จะปักดอกไม้ทองสักร้อยอันก็ได้" สุชาดาว่า
เก้งบอก “ค่ะ ถ้าชอบดอก ก็จะจัดให้ดอกเต็มที่เลยค่ะ จัดเต็มค่ะ"
บีบีพยักหน้า ตรีภพในชุดขุนนางราชสำนักสยามราวต้นรัตนโกสินทร์ นุ่งโจงกระเบน เสื้อคอปิด แขนยาวมีผ้าไหมคาดเอว มีมี่ มูมู่ วิ่งจัดผม จัดผ้าคาดเอวติดออกมาด้วย
มาลารินเป็นปลื้ม “โอ้ว ดูดีจังค่ะ"
ฐาปกรณ์ ถามขึ้น “แล้วเรื่องทรงผมล่ะ สรุปหรือยัง"
มูมู่เสนอหน้าบอก “เตรียมเอาไว้ให้เลือก 3 ทรงค่ะ"
ตรีภพ “แต่คงไม่ได้แต่งอย่างนี้ทุกฉากใช่ไหมครับ"
เก้งอ้าปากจะตอบ แต่มาดามสุตอบแทน
“อุ๊ย ไม่หรอกค่ะ ได้น้องตรีมาเล่นทั้งที ก็ต้องให้ถอดเสื้อโชว์เป็นระยะ"
บีบีเห็นงาม “อุ๊ย ใช่ค่ะ มีดีเราต้องอวด"
สุชาดา บีบี มีอาการกระเหี้ยนกระหือรือ มาสารินหน้าแดงตีบีบีอย่างขวยเขิน
“เอ้าไหน ลองมายืนคู่กันซิคะ ลูกขา"
บีบีจัดแจงดึงมาลารินมาคู่ตรีภพ แล้วหันมาสั่ง ลูกกบและรัก
“เอ้าเธอ ลองถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอไว้ด้วยซี"
ลูกกบกับรักอึ้งไป มองฐาปกรณ์เป็นเชิงถาม ฐาปกรณ์สะกดกลั้น
“อือม์ เอาซี ลองถ่ายดู"
ลูกกบกับรักถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ บีบีเข้าจัดการกำกับท่า มาสารินเข้าเบียดตรีภพ เก้ง มีมี่ มูมู่ค้อนขวับ ทันใดมีเสียงแว้ด แหวออกมาจากหลังฉาก
“นี่!"
ทุกคนสะดุ้งหันไป เห็นเมย์หน้าบึ้งโผล่มาจากหลังฉาก
“จะมีใครมาดูฉันบ้างไหมยะ"
“มาแล้วค่ะ มาแล้ว เร็ว มึง อีมีมี่ อีมูมู่"
เก้ง พร้อม มีมี่ มูมู่ ลนลานถลาไปหลังฉาก
มาลารินทำตาแป๋วกอดแขนตรีภพเขินๆ ตรีภพยิ้มนิดๆ
อกมาลารินกดเบียดแขนตรีภพอย่างจงใจ ตรีภพชะงัก หน้าเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง ก้มลงมอง มาลารินสบตาตอบ อาการตาแป๋วไม่รู้เรื่อง
“อุ๊ย น้องตรีขา กอดลินซี่หน่อยซี ลูกขา" บีบีฉอเลาะ
“แหม ลินซี่เขินนะคะ"
“วุ้ย ต้องคุ้นเคยกันไว้ ซีคะลูกขา"
แม่ลูกผู้จัดการกะดาราในสังกัดรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฐาปกรณ์ มาดามสุ สบตากัน ผู้กำกับบ่นอุบ
“เวร ทีหลังให้มันกำกับเองเลยดีไหม"
“ยังทนได้ทนไปก่อนคุณ คอนเนกชั่น คอนเนกชั่น"
มาลารินเข้ากอดตรีภพอย่างอิดออดหน้าแดง ตรีภพกอดไว้หลวมๆ
“ดีค่ะ เอ้า ลินซี่ ลองแหงนหน้าเผยอปาก น้องตรีก็ทำท่าจะคิสดูซีคะ"
ตรีภพอึ้ง มาสารินทำหน้าขลาดกลัว
“จะดีหรือคะ"
“ดีซีคะ ลูกขา"
บีบีควักมือถือมาถ่ายด้วย มาลารินเอาอกเบียดตรีภพหน้าแหงนเงย ตรีภพก้มหน้าลง
“จูบซีคะ"

ตรีภพบอกอย่างไว้ตัวด้วยท่าทีสุภาพ “ห่างๆ แบบนี้ก็พอครับ"


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

บีบีมองค้อนขวับแล้วเชิดใส่ สุชาดาเข้าไปดู
“ว้าย อะไรคะ น้องเมย์"
“เมย์ไม่ทราบค่ะ เมย์จะเป็นลม เอิ๊ก"
เมย์เรอยืดยาวออกมา สุชาดาผงะอุดจมูก มีมี่ มูมู่ ประคองพาเมย์มายืนกลางห้อง
“ดีดีนะคะ" / “ไหวนะคะ"
สุชาดาชื่นชม “อุ๊ยตาย สวยมากค่ะ ดูซิเอวคอดกิ่วเชียว"
“หรือคะ เอ้อ"
สุชาดาปลื้ม “น้องเมย์บอกจะลดหุ่นก็ลดได้จริงๆ"
เมย์ยิ้มรับหน้าซีดเซียว เก้งหน้าหงิกกระซิบกับฐาปกรณ์
“ลดเลิ๊ดอะไรคะ เอวหนาอย่างกะกินควายเข้าไป"
“อ้าว แล้วทำไมผอมได้" ฐาปกรณ์งง
เก้งจีบปากเม้าท์ “ก็หนูให้ใส่สเตย์มหัศจรรย์ ซ้อนเข้าไปสองตัวน่ะซีคะ"
เมย์เรอเอิ๊กออกมาอีก มีมี่ มูมู่ โบกมือไล่กลิ่น หัวเราะกันคิกคัก
“ดีนะคะ แค่ลมบน" มีมี่ว่า
มูมู่คิกคัก “ลมล่างล่ะแย่เลย ฮิ ฮิ"
บีบีกับมาสารินมองดู มาสารินยิ้มให้เมย์ แต่บีบีเชิดใส่ เข้ามาดูเมย์ใกล้ๆ
“ทำไมผ้าถึงสวยกว่าของลินซี่"
เก้งตอบ “แหม ก็เหมือนกันแหละค่ะ"
บีบีสวน “ไม่เหมือน เครื่องเพชรก็มากกว่าลินซี่"
“เจ้านางดารารายเป็นนางร้ายก็แต่งจัดกว่าไงคะ" เก้งแย้ง
บีบีไม่ยอม “แต่เป็นลูกเมียรองก็น่าจะจนกว่าลินซี่ซี"
เก้งกรี๊ด เยาะ “อุ๊ยตาย มีตีความมาจากบ้านด้วย"
ฐาปกรณ์ สุชาดาเดินเข้ามา
ฐาปกรณ์ปราม “เฮ้ย ใจเย็นๆ ไอ้เก้ง"
เก้งอารมณ์เสีย “ไม่เย็นแล้วค่ะ ถ้าเก่งนักก็เลิกเป็นผู้จัดการดารามาทำคอสตูมเองเถอะค่ะ"
บีบีต่อปากไม่เลิก “ต๊าย แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ คิดว่าหล่อนเลิศนักหรือ"
มาลารินขอร้อง “พี่บีบีขา พอเถอะค่ะ"
ด้านเมย์ขยักขย้อนพูดไม่ออก ทุกคนร้องห้ามกันเสียงขรม บีบีกับเก้งไม่มีใครยอมใคร
“เนี่ยดูเข็มขัดนี่ สายแบบนี้มันไม่ใช่สายโบราณ นี่มันสายโต๊ะกังเยาวราช"
บีบีเข้าไปเอานิ้วจิ้มๆ ที่เข็มขัดของเมย์ นิ้วจิ้มไปโดนพุงในสเตย์ เมย์ชะงัก บีบีค้อนเก้ง
“เชอะ"
“เชอะ" เก้งค้อนกลับ
ทันใดนั้น พลังดรรชนีก็สำแดงผล เมื่อเมย์พลันโก่งคออ้วกออกมาคล้ายในหนังผีฝรั่ง
ฐาปกรณ์ มาดามสุ ตรีภพ มาสาริน ร้องอุทาน “ว้าย" / “เฮ้ย" พร้อมกับขยับถอยจากรัศมีอ้วก โดยอัตโนมัติ แก๊ง เก้ง มีมี่ มูมู่ กรีดร้องสุดเสียง พลางยกมืออุดจมูก ลูกกบกับรัก คว้ากล้องมาถ่ายต่อ
บีบียืนตะลึงจังงัง ถูกอ้วกราดรดตั้งแต่หัวจรดกลางอก ร้องไม่เป็นภาษาเพราะกลัวอ้วกเข้าปาก
“ฮือๆ ว้าย อ๊ายยย"
เหตุการณ์สงบแป๊บเดียว ก็มีก๊อกสอง เมย์อ้วกออกมาอีกคำรบ ทุกคนผงะถอย

เหตุการณ์ในวันต่อมา มีงานแถลงข่าวขึ้น ตรงโต๊ะแถลงข่าวกลางห้อง เมย์ นางร้ายเจ้าบทบาทนั่งหน้าซีดอยู่บนนั้น มีแม่และผู้จัดการขนาบอยู่สองข้าง ตรงหน้ามีไมค์รวมจากทุกสำนักข่าวบันเทิงสุมอยู่คล้ายๆ กองฟอน ตรงหน้ามีขบวนนักข่าวรุมถ่ายรูป ใช้ทั้งกล้องวิดีโอ กล้องมือถือ แสงแฟลชวูบวาบกันไม่ขาดระยะ เมย์ยิ้มเรี่ยราดชี้แจง
“คือเมย์มีข่าวดีมาบอก ตอนนี้เมย์มีน้อง อยู่ในท้องได้ห้าเดือนแล้ว"
บรรดานักข่าวร้องฮือฮา ส่งเสียงแย่งถามกันดังแซ่
“กับใครกันแน่ครับ" / “อ้าว แล้วที่ว่าอ้วนเพราะยาบำรุง" / “แล้วจะมีงานแต่งไหมคะ"

ภาพเหตุการณ์การรุมถามของนักข่าวกลายเป็นภาพในจอโทรทัศน์ยามนี้ ฐาปกรณ์นั่งอยู่บนโซฟายกรีโมทกดปิดเสียงอย่างหงุดหงิด ตรีภพอยู่ห่างไปเล็กน้อย มาดามสุ ที่นั่งหน้าหงิกอยู่ที่โซฟาอีกตัว
ข้างหลังโซฟา เก้ง มีมี่ มูมู่ รัก ลูกกบ ยืนกันสลอน มีอาการเม้าท์มอยบันเทิงวงใน
มีมี่เปิดประเด็น “ไอ้เราก็คิดว่าเครียดลงกระเพาะ"
มูมู่ตาม “กลายเป็นเครียดลงมดลูกแทน ฮิ ฮิ ฮิ"
“ต๊าย ฉันน่ะพูดอยู่แหมบๆ ว่าท้องอย่างกะกินควายเข้าไปทั้งตัว แต่ลงท้ายไม่ใช่ควาย แต่กิน"
เก้งเว้นวรรค ทุกคนใจหาย กลัวติดเรท ฉ ฉิ่ง
“กินอะไรหรือครับ" รักงง
“จะกินอะไร ก็กินเด็กเข้าไปน่ะซีคะ" เก้งมันปาก
ลูกกบติงทุกปาก “นี่อย่าพูดไปเลย สงสารเมย์มัน"
มีมี่เออออ “ใช่ ไปว่าเขามากๆ เดี๋ยวกรรมตกถึงตัว"
มูมู่แย้ง “หล่อนกับฉัน ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะท้องก่อนแต่งขึ้นมาบ้าง ฮิ ฮิ ฮิ"
ฐาปกรณ์ มาดามสุตาขวาง ฐาปกรณ์ลุกพรวดขึ้น ตวาดแว้ด
“ออกไป ออกไปให้หมดทุกคน"
บรรดาทีมละครขาเม้าท์ลนลานออกไป ฐาปกรณ์เดินงุ่นง่าน มาดามสุเม้งแตก
“นังเมย์นะนังเมย์ ฉันน่ะกะอยู่แล้วเชียวว่าอีนี่ต้องนำความฉิบหายมาให้"
“อ้าว ไหนเห็นตอนแรก ปลื้มเขาจะเป็นจะตาย"
“ปลื้มเปลิ้มอะไร เล่นก็ไม่ดี เว่อร์จะตายไป"
ฐาปกรณ์พูดไม่ออก สบตาตรีภพ ที่มีอาการคล้ายสมใจบางอย่าง สองผัวเมียไม่เห็น
“แล้วจะยังไงครับนี่"
“จะยังไงเล่า ก็ต้องหานางร้ายคนใหม่น่ะซี"
สุชาดาเซ็ง “จะใครดีล่ะ ไอ้ที่ดังๆ ก็คิวทอง เล่นละครเจ็ดวันเจ็ดเรื่องทั้งนั้น"
ฐาปกรณ์เอาแฟ้มรวมรูปดาราหญิงมาดู
“งั้นก็เอาพวกรองๆ ลงมาไม่ต้องดังมาก"
สุชาดาท้วง “แต่ต้องสวย สู้กับยายลินซี่ได้นะ"
“เอ ผมพอจะนึกออกคนนึง สวย เล่นเก่ง ดังพอประมาณ แล้วก็ไม่คิวทองเท่าไหร่นัก"
ฐาปกรณ์ถามทันที “ใคร"
สุชาดาพลอยอยากรู้ไปด้วย “ใครคะน้องตรี"
ตรีภพไม่ตอบ ยิ้มกริ่ม

ไม่ใช่นางร้ายที่ไหน แต่เป็นพิมพ์ดาว นางร้ายคู่กัดของตรีภพนั่นเอง ซึ่งเวลานี้หล่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุค หนังสือ และแมกกาซีนหลายเล่ม บนชั้นหนังสือมีหนังสือแนวภาพยนตร์ ตำราภาพยนตร์ ประวัติศาสตร์การละคร ฟิล์มฮีสทรี่ ฯลฯ และแนวความรู้รอบตัว
พิมพ์ดาวกำลังอ่านบทละครโทรทัศน์ ความยาวเพียงครึ่งเดียวของบทโทรทัศน์ทั่วไป จนถึงตอนสุดท้ายแล้วก็วางลง
ชื่อเรื่องบทละคร เขียนว่า คุ้มนางครวญ ตอน อวสาน
พิมพ์ดาวมีอาการสะเทือนใจ แปลกใจ และสังหรณ์ประหลาดๆ กับบทละครที่เพิ่งอ่านจบไป โดยบอกไม่ถูก
“แปลกจริง เรื่องจบแบบนี้หรือ"

ห้องพระบนชั้น 2 ในบ้านจันทรา มีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่หิ้งพระเต็มไปด้วยพระพุทธรูปมากมาย ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน ที่หน้าองค์พระ ธูปดับไปนานแล้ว แต่เทียนเล่มยาวกำลังเผาไหม้จนใกล้หมดเล่ม
ส่วนที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา จันทรานั่งสมาธิอยู่บนเบาะ ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบไม่ปรากฏ ในความมืดมิด กลุ่มควันรวมตัวกันเป็นใบหน้าของยอดหล้า จันทรายังคงสงบนิ่ง
เห็นภาพยอดหล้ากำลังบรรเลงเพลงซึง จันทรามองดูอย่างเคลิบเคลิ้มแปลกใจ ยอดหล้าวางมือจากซึง เงยหน้าขึ้นแล้วแย้มยิ้ม แต่ดวงตาแข็งกร้าว
จันทรามองดูอย่างรอคอยว่าจะมีอะไร ทันใดใบหน้ายอดหล้าก็กลายเป็นอสูรกาย พุ่งพรวดเข้ามาหาเต็มหน้าอย่างรวดเร็ว
จันทราผวาหลุดออกจากสมาธิ ลมแรงพัดเทียนที่หลอมจนใกล้หมดดับพรึบ กลายเป็นควันอบอวล

จันทรานิ่งคิด สังหรณ์ใจว่ามีบางสิ่งผิดปกติแน่ๆ


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

ในขณะที่พิมพ์ดาวเอาบทละครมารวมเข้าเป็นตั้ง เคาะให้ปึกกระดาษตรงกันแล้ววางไว้มุมโต๊ะ มีเสียงเคาะประตู

“ยายเดือนหรือ เข้ามาซี"
เป็นจันทรา ผู้แม่ เดินเข้ามาที่โต๊ะ พิมพ์ดาวแหงนหน้ายิ้มกับแม่
“ไม่ใช่ยายเดือนลูก แม่เอง ทำไมยังไม่นอนอีกลูก"
“เพิ่งอ่านบทละครจบไปเรื่องนึงค่ะ"
จันทรา มองดูปึกบทที่ตั้ง อ่านชื่อ “คุ้มนางครวญ หรือ ชื่อแปลกดี"
พิมพ์ดาวลุกขึ้นมานั่งที่เตียง จันทราตามมานั่งด้วย
“เป็นเรื่องรักสามเศร้าอีกแล้วค่ะ มีเจ้านางทางเหนือรักกับขุนนางหนุ่มจากสยาม แต่โดนน้องสาวทำเสน่ห์แย่งคนรักไป เธอตามมาพระนคร เพื่อแก้เสน่ห์ เลยกลายเป็นเมียรองร่วมบ้านกับน้องสาว"
จันทรายิ้มให้ลูกสาว แต่ในใจกลับสังหรณ์บางอย่าง
“เลยกลายเป็นสร้อยฟ้าศรีมาลาเลยซีจ๊ะ"
“ยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ มีเรื่องวางยาพิษ มีเรื่องแม่สามีตาย"
จันทรารู้สึกวูบขึ้นมาอีก แต่พูดเล่น
“โถ เรื่องพวกนี้ แม่ผัวตายมาหลายเรื่องแล้วล่ะจ๊ะ"
พิมพ์ดาวเล่าต่อ “ตอนจบเธอถูกเนรเทศกลับเมืองเหนือ เป็นโรคร้าย เธอเล่นเพลงซึงที่แต่งให้คนรักจนขาดใจตาย"
จันทราสะดุดหู “เพลงซึงหรือ"
ภาพในสมาธิของจันทรา ตอนเห็นยอดหล้าเล่นซึง ผุดขึ้นมาในห้วงคิดแวบหนึ่ง
จันทราพยายามตัดความคิดออกไปจากหัว
“ค่ะ คนรักแต่งกลอนให้เธอใส่ทำนองเป็นเพลง"
“แล้วเขาติดต่อให้หนูเล่นเป็นบทเจ้านางคนนี้หรือลูก"
พิมพ์ดาวค้อนนิดๆ “แหม แม่ไม่น่าแกล้งถามนะคะ หนูก็ต้องได้บทน้องสาวตัวร้ายซีคะ"
จันทราซัก “แล้วใครเล่นเป็นนางเอกล่ะ"
“นางเอกใหม่ที่ชื่อ มาสารินไงคะ ทางช่องเตรียมดันเต็มที่ค่ะ"
“อ๋อ แล้วพระเอกล่ะลูก"
พิมพ์ดาวเชิดหน้าบอกด้วยท่าทีหมั่นไส้คนที่พูดถึง “ก็แฟนใหม่แม่ไงคะ"
จันทราคิดนิดหนึ่งแล้วหัวเราะขัน
“คุณตรีภพน่ะหรือ แหม ดีจัง"
“ไม่เห็นดีเลย ถ้าหนูจะไม่รับเล่นก็เพราะอีตานี่แหละ"
พิมพ์ดาวค้อนดินฟ้าอากาศ ท่าทีน่าขัน

เช้านี้ ที่โต๊ะอาหาร พิมพ์เดือน พิมพ์ดาว และจันทรา นั่งอยู่ ตรงหน้ามีอาหารเช้าที่ไม่มีใครใส่ใจนัก ใบเฟิร์นก็นั่งรออยู่ที่พื้น ตรงหน้าพิมพ์เดือนมีปึกบท พิมพ์เดือนอ่านบทตอนสุดท้ายอยู่แล้วเงยหน้าขึ้น
“เล่นเถอะค่ะ พี่พิมพ์"
ใบเฟิร์นเชียร์ “ค่ะ เล่นเถอะค่ะ คุณพิมพ์"
พิมพ์ดาวหันไปมอง ใบเฟิร์นทำสีหน้าอ้อนวอน พิมพ์ดาวเชิดใส่พิมพ์เดือน
“แต่ฉันไม่อยากถูกจับคู่กับแฟนเธอ"
พิมพ์เดือนหัวเราะคิก
“แหม พี่พิมพ์ไม่ใช่นางเอกซักหน่อย นักข่าวอาจจับคู่เขากับคุณลินซี่ มาสารินก็ได้"
“แต่ฉันมีบทเข้าพระเข้านางกับพระเอกทั้งเรื่องเลยนะ"
พิมพ์เดือนยิ้ม “ดีออกค่ะ"
“อ้อ งั้นพอมีบทเลิฟซีน เธอไปเป็นสแตนด์อินให้ฉันเอาไหมล่ะ"
พิมพ์เดือนอมยิ้ม ทำเป็นนั่งคิดแล้วสั่นหัว
“ไม่เอาค่ะ ไม่ใช่สเป็กหนู"
“ไม่ใช่สเป็กฉันเหมือนกัน" พิมพ์ดาวว่า
ใบเฟิร์นสอดขึ้น “แต่สเป็กหนูค่ะ หนูช้อบชอบ"
จันทราแทรกขึ้น “หนูจะไปตั้งแง่อะไรกับคุณตรีนักหนา แม่น่ะแน่ใจว่าเขาเป็นคนดี ดีมากด้วย"
“หนูว่าแม่กับยายเดือน อ้อ กับใบเฟิร์นด้วย ต้องไปโดนมนต์เสน่ห์ มหาระลวย นะหน้าทองอะไรนายนี่แน่เลย"
พิมพ์เดือนหัวเราะคำพูดพี่สาว ใบเฟิร์นอมยิ้ม จันทรายังคงกล่อมต่อ
“แม่น่ะถูกชะตากับเขาตั้งแต่เจอกันวันแรกเลย"
“ตาย เป็นคู่แท้แต่ชาติปางก่อนหรือไงคะ" พิมพ์ดาวเหน็บ
“อย่ามาพูดเลย เธอน่ะไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้าไม่ใช่หรือ"
“ไม่ถึงกับไม่เชื่อหรอกค่ะ แค่ห้าสิบห้าสิบมากกว่า"
มีเสียงโทรศัพท์มือถือดัง พิมพ์ดาวหยิบขึ้นมาดูแล้วถอนใจ
จันทราสนใจ “ใครหรือ"
“มาดามสุ ผู้จัดค่ะ โทร.มาทวงคำตอบหนูแล้ว" พิมพ์ดาวกดรับ “ฮัลโหล"

ขณะเดียวกันที่คุ้มใหญ่ สายใจเดินมากับตาทอง สายใจมีสีหน้าทุกข์ทนชัดแจ้ง แต่ตาทองนิ่งขรึม
“ฉันไม่เข้าใจเลย คุณแก้วคิดยังไง ถึงได้จัดคุ้มใหม่แบบนั้น"
“เห็นคุณแก้วว่า อยากให้เป็นเหมือนกับยุคโบราณ"
“แต่ต้องถึงขั้นทำท้องพระโรง มีแท่นที่ประทับด้วยเชียวหรือ พี่ทอง"
“เขาเรียกแท่นคำ"
“เฮ้อ เห็นว่าหมดไป เป็นไม่รู้กี่ล้าน"
“คุณแก้วไม่ได้จะทำเทียมเจ้าเทียมนายอะไรหรอกน่า คุณทนายบอกกับฉันว่า คุณแก้วอาจจะเอาบ้านทำเป็นพิพิธภัณฑ์จำลองยุคนั้นออกมา"
สายใจไม่เห็นด้วยอยู่ดี “ยังไงก็พิลึก พี่ทอง"
สายใจหันไปมองดูตัวคุ้ม
“คุณแก้วนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน วันๆ แทบไม่ได้เห็นหน้า" สายใจว่า
“คุณแก้วคงเขียนหนังสือกลางคืนจนชิน"
สายใจค้อนตาทองที่แก้ได้ทุกคำถาม
“แกไม่เห็นหรือ ที่คุณแก้วพิมพ์งานอยู่ 3 วัน 3 คืน ไม่กินข้าวกินปลา ไม่หลับไม่นอน"
“ก็นั่นแหละ จากนั้นก็ไม่เหมือนคุณแก้วคนเดิมอีกเลย"
นัยน์ตาของตาทองมีแววหวาดหวั่นแต่ฝืนข่มไว้
“แกก็พูดเกินไป"
สายใจมีแววลังเล แล้วกัดริมฝีปากตัวเอง คว้าแขนตาทอง
“พี่ทอง"
“อะไรฮึ"
“ฉันไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ก็ว่าฉันบ้าอีก"
“เออ แกลองพูดมาเถอะ"
“คืนก่อนฉันนอนไม่หลับ ฉันเห็นคุณแก้วเดินออกไปทางหลังคุ้ม"
ตาทองมองอย่างหวาดๆ
สายใจเล่าต่อ “ฉันเดินตามไปห่างๆ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงม้าลากรถ เหมือนคืนที่แม่เจ้าสิ้น ฉันตกใจ แล้วฉันก็เห็นดวงแสงหลังแนวต้นไม้ พอฉันออกไปดู คุณแก้วก็หายไปแล้ว"
“แกจะว่าเป็นฝีมือม้าบ้องอีกแล้วซี"
“จริงๆนะพี่ แม่เจ้าไม่ได้เป็นลมตายแน่ๆ"
“แกก็ยังเห็นว่าคุณแก้วยังอยู่รอดปลอดภัยดี"
สายใจนิ่งแล้วมองตาทอง
“พี่ทอง ถ้าดวงวิญญาณที่ถูกขังในคุ้มร้าง หลุดออกมาแล้วล่ะพี่"
“สายใจ" ตาทองหวั่นใจมากขึ้น
“แล้วพวกเราจะอยู่กันยังไง"
“คุ้มนี้มีศาลอารักษ์ มีหอผีปู่ตาคุ้มครองอยู่ ยังไงท่านก็ต้องปกป้องคุ้มครองเรา" ตาทองปลอบใจตัวเอง
“ถ้าจริง…ทำไมถึงไม่คุ้มครองแม่เจ้า"
ตาทองเองก็พูดไม่ออก จังหวะนี้มีคนงานชายวิ่งหน้าตาตื่นมา
“ตา ตา…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว"

ที่ศาลอารักษ์ประจำคุ้ม เป็นศาลพระภูมิขนาดใหญ่ เห็นมีคนงานอีกคนกับ 2 สาวใช้ ระรินกับเฟื่องฟ้ายืนหน้าตาตื่นอยู่ ตาทอง สายใจ กับคนงานที่ไปตามก้าวเข้ามา แล้วตกตะลึงจังงัง
“คุณพระ คุณเจ้า" สายใจอุทาน
ตรงหน้าศาลอารักษ์ที่ตั้งอยู่ เสานั้นมีรอยร้าวแยก จนตัวศาลจุตรมุขข้างบนเอียงไป
“มันยังไง มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่"
คนงาน 1 บอก “เมื่อกี้นี้เองตา ผมมากวาดใบไม้ตรงนี้แล้วได้ยินเสียงเหมือนอะไรลั่นเปรี๊ยะ พอหันมาดูก็เห็นรอยร้าวที่เสา"
คนงาน 2 เสริม “แล้วตัวศาลข้างบนก็เอียงไป"
สายใจยิ่งตกใจกลัว “ฮือ แล้วจะทำยังไงดีล่ะพี่"
“หาอะไรมาค้ำก่อน แล้วเอาปูนมาโป๊วรอยแตก น่าจะซ่อมได้"
มีลมพัดมาไม่ได้แรงนัก แต่ทุกคนรู้สึกเย็นยะเยือก
ทันใดนั้นมีเสียงลั่นอีก พร้อมกับเกิดรอยร้าวแล่นไปตลอดแนวเสา ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด
ตัวศาลาเบื้องบนพลันเอียงเพิ่มขึ้น แล้วมีเสียงลั่นครืนๆ อีกครั้ง ปูนบนเสาแตกออก แล้วหล่นลงสู่พื้น จนเสาเหลือเพียงครึ่งซีกเรียวเล็ก ศาลาเอียงมากขึ้น ทุกคนผงะถอย
ทันใดเสาก็หักต่อหน้า ศาลาฟาดลงกระแทกพื้น เศษปูนแตกกระจาย ฝุ่นฟุ้งตลบขึ้นมา
สายใจล้มคว่ำไป ตาทองจะช่วยก็ล้มไปด้วย คนงานกับสาวใช้ช่วยกันดึกสองแม่บ้านพ่อบ้านขึ้น ตาทองพยายามข่มความรู้สึก
“เห็นไหม ฉันพูดไม่ทันขาดคำ อารักษ์ท่านไม่คุ้มเราแล้ว"
“พูดอะไร ปูนมันเก่าแล้วก็เลยพังลงมา ดีเสียอีกจะได้ยกศาลใหม่"
สายใจกับคนอื่นมองตาทองเป็นเชิงว่า อย่ามาปลอบเลย ไม่เชื่อแล้ว ทุกคนตาเหลือกเพราะเห็นที่โหนกแก้มตาทองถูกสะเก็ดปูนกรีด จู่ๆ ก็ปริ เลือดไหลโทรมมาอาบแก้ม
“ว้าย พี่ทอง"
ตาทองตกใจ ยกมือกุมแก้ม
“คงโดนสะเก็ดปูนเมื่อกี้ ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไร"
ลมแรงพัดกรูมาอีกวูบ พาเมฆใหญ่มาบดบังท้องฟ้าบริเวณนั้น จู่ๆ ฟ้าก็มืดลงราวเป็นเวลาใกล้ค่ำ ทุกคนขนลุกเกรียว แหงนมองท้องฟ้า
ลมแรงพัดมาอีกกรู คราวนี้มีเสียงหวีดหวิวของใบไม้ไหว แต่เสียงนั้นคล้ายเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังแทรกมา

ตาทองยืนตะลึงจังงัง สายใจกลัวจับจิตแทบเป็นลม คนงาน และสาวใช้หน้าซีดเผือด


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

ไม่นานต่อมาหน้าบ้านมหาจรวย มีรถของคุ้มมาจอด ตาทองที่ปิดแผลที่โหนกแก้มก้าวลงมา

ที่ส่วนเติ๊นของเรือน จัดเบาะกับหมอนขวานไว้ รอบๆมีตู้ต่างไม่กี่ชิ้น ดูโล่งสะอาด แต่ก็มีถ้วยโถโอชามมีราคาอยู่หลายชิ้น มหาจรวยนั่งอยู่ตรงข้ามกับตาทอง
“แผ่นไม้อาคมสะกดวิญญาณบนยอดคุ้มถูกทำลาย วิญญาณเจ้านางยอดหล้าจึงออกมาได้"
“แม่เจ้าถูกเจ้ายอดหล้าฆ่าจริงๆ ซีครับ แล้วคุณแก้วเล่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า"
“ถ้าเป็นอะไรคงเป็นไปนานแล้ว ผมว่าเจ้ายอดหล้าเจาะจงให้คุณแก้วมาที่นี่ เพื่อจุดประสงค์ใดซักอย่าง"
“แล้วเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ครับ" ตาทองคาใจ
มหาจรวยส่ายหน้า
“มันคือเรื่องน่าอับอายของคุ้มเวียงแก้ว ไม่มีใครบันทึกไว้ มีแต่ข่าวลือที่ซุบซิบกันมา ผมเองก็ถูกสั่งเสียต่อๆกันมาว่าให้คอยตรวจตราอาคมที่ลงไว้ไม่ให้ถูกทำลาย"
“แต่ทำไม…"
“ไม่มีอะไรยั่งยืนมั่นคงตลอดไปหรอกครับ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้ายอดหล้าจะถูกกักขังไปตลอดกาล"
“แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น" ตาทองถาม
“แต่ก่อนเจ้ายอดหล้ามีพลังแค่เพียงในคุ้มน้อย แต่พลังของเจ้ากล้าแกร่งขึ้นทุกที จนถึงขั้นทำลายศาลอารักษ์ที่คุ้มหลวงได้"
“เราจะยกศาลใหม่ได้ไหมครับ"
“ไม่มีประโยชน์ เราหาหนทางอื่นดีกว่า"
ตาทองครวญ “โธ่ แล้วจะทำยังไงเล่า"
“อย่าเพิ่งกลัวไปก่อนเลยครับ เราค่อยๆแก้ไขกันไป ยังไงก็ให้เชื่อในอำนาจพระพุทธคุณ ว่าจะช่วยคุ้มครองเราได้"
มหาจรวยยกพานมา ในพานนั้นมีสร้อยสายสิญจน์หลายเส้นวางอยู่ มหาจรวยหยิบสร้อยสายสิญจน์ขึ้นมา

ชายคนที่ 2 ที่มหาจรวยช่วยไว้ นอนแบบอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล ใบหน้าซีดเซียว ตาลึกขอบตาคล้ำ ริมฝีปากแตกระแหง มือกำสายสิญจน์ที่คอเอาไว้ ยังมีอาการพร่ำเพ้อบางอย่างอยู่
พ่อเลี้ยงธาดายืนอยู่ที่ข้างเตียง กับสมุนคนสนิท 2 คน พ่อเลี้ยงมองดูสภาพลูกน้องอย่างงุนงง
“เอ็งบอกว่า ผีฆ่าไอ้ใหญ่ตาย"
“ไม่ใช่แค่ไอ้ใหญ่ ไอ้พวกนั้นทุกคนก็ตายอยู่ที่นั่น" ชาย 2 ว่า
ธาดาสบตาสมุนทั้งสอง ซึ่งทั้งคู่ก็มีอาการหวาดๆ
“เอ็งรู้ได้ยังไง"
“ศพพวกมันยังอยู่ที่นั่น กลายเป็นศพตายซาก" ชาย 2 เล่าอีก
“ผีฆ่าพวกมันด้วยซีนะ" ธาดาประชด
“ผีผู้หญิง สวยเหมือนนางฟ้า มันฆ่าสูบเลือดสูบเนื้อไอ้ใหญ่"
“ผีดูดเลือดอย่างงั้นหรือ"
พ่อเลี้ยงธาดาพิศวง ยิ่งไม่เชื่อมากขึ้น
“ผีอีกา ผีม้าไฟ" ชาย 2 บอก
“มึงชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ให้ตายห่า ไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง"
พ่อเลี้ยงธาดาทำท่าจะหันกลับ ลูกน้องที่รอดตายคว้าข้อมือไว้
“พ่อเลี้ยง"
ธาดาชักโกรธ “อะไรของมึงอีก"
“เงิน เงินยังอยู่ที่นั่น เงินเต็มกระเป๋า"
พ่อเลี้ยงธาดาตาวาว ก้มลงคว้าคอเสื้อลูกน้อง
“ที่ไหน เงินอยู่ที่ไหน"
“ห้องใต้ดิน ใต้ถุนคุ้มนั่นมีห้องใต้ดิน เงินยังอยู่ที่นั่น อยู่กับศพไอ้ใหญ่ ศพไอ้พวกนั้น"
พ่อเลี้ยงธาดายืดตัวตรง มีแต่แววโลภในดวงตาชัดแจ้ง

คุ้มใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในความมืด ทางด้านหลังคุ้ม มีต้นมะลิหลายต้นออกดอกพราว ไฟแสงจันทร์สว่างไปทั่วบริเวณ เฟื่องฟ้าและระรินเก็บดอกมะลิใส่ขัน คุยกันระริกระรี้ เพราะเป็นเวลาค่ำจึงไม่กลัว
“มะลิวันนี้ได้เกือบเต็มขันแน่ะ นังริน"
“ดี เหลือจากบูชาพระ ฉันจะได้ร้อยมาลัยให้คุณแก้ว เอาไว้วางข้างหมอน"
เฟื่องฟ้าชะงัก ระรินลอยหน้าพูดเล่น
“ว้าย นังนี่ พูดมาได้ไม่อายปาก นั่นเจ้านั่นนายนะยะ"
“วุ้ยไม่แน่หรอก เผื่อวันไหนบุญพาวาสนาส่ง คุณแก้วอาจจะเรียกฉันเข้าห้อง"
“ย่ะ คุณแก้วเรียกแกเข้าห้องให้ไปล้างส้วม"
ระรินตีเฟื่องฟ้าเผียะ แล้วหัวเราะกันคิกคัก
จู่ๆ ไฟที่สว่างก็หรี่ลง แสงหายไปครึ่งหนึ่ง สองนางแหงนดู
ระรินร้องลั่น “ว้าย ไฟตก"
“ดีนะ ที่ไม่ดับ เอ๊ะ"
สองนางชะงักมองไป เห็นหมอกบางๆ ไหลระเรื่อยมาตามพื้น สภาพหมอกนั้นดูผิดปกติ หมอกนั้นไหลมาถึงเท้าของทั้งคู่ แม้พยายามชักเท้าหนีก็ไม่พ้น
“อะไรกันนี่"
ลมพัดกิ่งไม้ไหวซ่า ราวเสียงหัวเราะซุบซิบ เฟื่องฟ้า ระรินหน้าซีดทิ้งขันหลุดมือ ดอกมะลิกระจาย วิ่งขึ้นเรือนทันที

บริเวณเรือนคนงาน ที่พักของตาทองกับคนงานผู้ชายในคุ้ม เป็นเรือนแถวแยกเป็นห้องต่างๆ มีระเบียงยาวเป็นทางเดินหน้าห้อง
คนงานชายทั้งสองนุ่งผ้าขาวม้า กำลังอาบน้ำกันอยู่ที่โอ่งน้ำที่ตั้งเรียงราย กำลังรดน้ำกันซู่ซู่
ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะคิกคัก สองคนงานชะงัก
“เฮ้ย ใครวะ"
คนงาน 2 ยิ้มย่อง “นังเฟื่อง นังริน มาแอบดูพี่อาบน้ำหรือ"
สองคนงานครึกครื้น เลิกอาบน้ำเดินไปดูที่หลังไม้ที่ตีเป็นระแนงแล้วชะงัก เมื่อเห็นหญิง 2 นางยืนอยู่
คนงาน1 ฉงน “หือ ไม่ใช่นังเฟื่อง กะนังรินนี่"
หญิงทั้งสองนั้นนุ่งซิ่น ห่มผ้าพันอก แต่มีผ้าคล้องคออีกผืน ผมเกล้าเป็นมวยสูง เป็นนางเผื่อน กะ นางผัน ทั้งสองร่างมองดูทั้งสองชายตาไม่กระพริบ มีแววประหลาด กึ่งอายกึ่งรัญจวนใจ แล้วปิดปากหัวเราะกัน
“ใครวะ เธอสองคนเป็นใครน่ะ เข้ามาที่นี่ได้ยังไง" เผื่อนถาม
ผันพูดเสริม “ข้าสองคนเคยอยู่ที่นี่ เมื่อเนิ่นนานเหลือเกินเจ้า"
“นานกว่าร้อยปีอีกเจ้า" เผื่อนว่า
คนงาน 2 งง “ร้อยปี.. ร้อยปีอะไรกัน"
คนงานอีกคนมองดูแล้วตัวชา กระชากแขนเพื่อน
“อะไรวะ"
“ไม่ต้องพูด.. ไปเร็ว"
“อะไรของมึง"
“มึงดูให้ดี"
คนงานทั้งคู่ มองดูร่างนางผัน นางเผื่อน อีกครั้งแล้ว เห็นว่าร่างนั้นชัดเจนแต่ท่อนบน แต่ท่อนล่างเริ่มโปร่งแสงมองทะลุได้ แต่ต่ำลงมาถึงส่วนเท้านั้นไม่มี
สองคนงานร้องโหยหวน ผงะหกล้มป้าบ ผ้าขาวม้าเปิดชะเวิกชะวาก นางผัน กะ นางเผื่อนหัวเราะคิก เสียงก้องสะท้อนสะท้านไปทั่วคุ้ม
สองคนงานตะกายล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะวิ่งหนีไปได้ นางผัน นางเผื่อนหันมามองกัน ยิ้มพยักพเยิดแล้วเลือนหายไป

แก้วยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง หมอกควันมากมายไหลเข้ามาจากระเบียง แก้วผวาตื่น ลุกขึ้นนั่งห้อยเท้าลงมา เท้าจมลงในหมอกควันก็สะท้านเผือก รู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติ ทันใดมีเสียงดังโครมครามกึกก้อง คล้ายตู้ขนาดใหญ่ล้ม

ที่ระเบียงคุ้มอันเป็นส่วนเชื่อมไปยังเรือนและหอต่างๆ แก้วก้าวพรวดออกมาตรงนั้น เห็นตาทองกับสายใจยืนนิ่งอยู่ เฟื่องฟ้ากับระรินคุกเข่าอยู่กับพื้น ตาทองดูข่มความกลัวไว้ แต่สามหญิงนั้นตาเบิกกว้าง หน้าเผือดอย่างกลัวสุดขีด
“เกิดอะไรขึ้น"
“เสียงมาจาก หอผีปู่ย่าครับ คุณแก้ว"
ตาทองมองไป แก้วมองตาม

ประตูห้องหอผีปู่ย่าเปิดออก แก้วก้าวเข้าไปแล้วเปิดไฟสว่างขึ้น แล้วชะงัก ตาทองกับสายใจตามมาก็ชะงักไปด้วย ตาเบิกกว้าง
ข้างในหอผี บรรดาชั้นที่ไว้วางโกศบรรจุอัฐินับสิบล้มทะลาย โกศมากมายล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น เถ้ากระดูกหกเกลื่อนกล่นกระจัดกระจาย พานแก้ว มาลัย กระถางธูป เชิงเทียนแตกเกลื่อน
“คุณพระ คุณเจ้าช่วย ตายแล้ว" สายใจตะลึง
ตาทองครวญ “โธ่ โธ่ โธ่ ทำไมถึงต้องทำกันขนาดนี้ด้วย"
ในห้องนั้นคล้ายมีกระแสลมประหลาดพัด เถ้ากระดูกปลิวไปมา แก้วขบกรามหันไปสั่ง
“ตาทอง แม่สาย ออกไป"
“ทำไมครับ" ตาทองคาใจ
แก้วตวาด “ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้"
ตาทอง สายใจผงะ รีบรับคำลนลานออกไป ดึงประตูปิดลง กระแสลมประหลาดพัดวูบมา ผ่านแก้วจนผมและเสื้อปลิว แก้วหันตาม กระแสนั้นไปหยุดที่กลางห้อง รวมตัวเป็นร่างของยอดหล้า ดวงหน้างามนั้นมีแววสาสมใจ
“เจ้านาง ทำไมถึงต้องทำอย่างนี้"
“เจ้าจะไม่ถามซักนิดหรือว่าข้าออกจากคุ้มน้อย มาถึงคุ้มหลวงได้อย่างไร"
“ผมรู้ตั้งแต่ศาลอารักษ์นั่นพังทลายแล้ว ว่าพลังของเจ้านางกล้าแข็งล้นฟ้าขนาดไหน"
แก้วแฝงแววประชด ยอดหล้าเลิกคิ้ว
“ถ้าข้ามีพลังล้นฟ้าจริง เจ้าคงไม่กล้าโอหังกับข้าขนาดนี้"
ยอดหล้าพลันโบกมือข้างหนึ่ง แก้วผวาลอยคว้างขึ้นทั้งตัวไปกระแทกฝาแล้วรูดตกลง แก้วตะกายลุกขึ้นนั่ง เท้าโดนโกศใบหนึ่งกลิ้งขลุกๆ แก้วคว้าไว้
“ทำไมเจ้าต้องทำอย่างนี้ ยังไงท่านก็เป็นปู่ย่าตายายของผม เป็นลูกหลานของเจ้านางเหมือนกัน"
ยอดหล้ายิ้มเยาะ
“พวกลูกหลานที่มาเสวยสุขอยู่บนหัวข้า ในขณะที่ข้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ใต้เท้าพวกมันน่ะหรือ"
“แต่ในหอนี้ก็มีอัฐิของเจ้าหลวง ต้นเครือเชื้อวงศ์เวียงแก้ว มีเจ้าปู่ เจ้าย่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ของเจ้านางด้วย"
ยอดหล้ายิ้มขมขื่น ย้อนถาม “แล้วยังไงหรือ"
“เจ้านางไม่น่าลบหลู่ ลบหลู่พวกท่าน"
ยอดหล้าหรี่ตาลง เดินกรายตัว โกศเจ็ดแปดใบที่กลิ้งอยู่บนพื้นพลันลอยขึ้นมา ค้างอยู่กลางอากาศ
“จริงซีนะ ทั้งหมดคือต้นเครือ ที่ให้กำเนิด มีบุญคุณเลี้ยงดูข้ามา เคยรักข้า เอ็นดูข้า ทะนุถนอมข้ายิ่งกว่าผู้ใด"
ยอดหล้าพลันส่ายหน้า เคียดแค้น ขมขื่น
“แต่เพียงนังน้องสาวแพศยาแต่งเรื่องใส่ความข้า ทุกคนก็ตราหน้าข้าว่าเป็นคนบาป เป็นหญิงแพศยา เป็นฆาตกรต่ำช้า ข้ากลายเป็นความอับอายของเวียงแก้ว"
ยอดหล้าน้ำตาไหลริน แก้วมองอย่างเวทนา
“คนที่เคยรักข้าดังดวงใจ กลับพรากข้าจากพี่เทพ ลงทัณฑ์ล่ามข้าไว้ไม่ให้เห็นเดือนแลตะวัน ใช้อาคมทำลายโฉมข้า ให้โรคร้ายกัดกินข้า ให้ข้าทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อข้าสิ้นใจก็ยังจองจำข้าไว้ใต้คุ้มนานนับศตวรรษ"
ยอดหล้าน้ำตาแห้งหาย ความเคียดแค้นพุ่งขึ้นมาใหม่
พลันโกศทั้งหลายก็ร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกัน เหลือเพียงโกศงามใบหนึ่งลอยอยู่ต่อหน้ายอดหล้า
“เจ้าพ่อ ไยท่านเชื่อแต่คำลวงของนังดาราราย"
ดวงตายอดหล้าเป็นประกายเจิดจ้า
โกศใบนั้นพลันยุบจากโดยรอบ บุบลง บู้บี้ จนกลายเป็นก้อนโลหะ เถ้ากระดูกฟุ้งกระจาย แก้วเมินหน้าหนี
ยอดหล้าแสนขมขื่นเจ็บปวด และเสียใจกับสิ่งที่ทำ แต่เพียงพริบตา ความสะใจก็เข้ามาครอบคลุมกลายเป็นยิ้มสมใจใบหน้าดูชั่วร้าย

ดวงหน้าอสูรกายซ้อนทับอยู่บนใบหน้างามพิลาสนั้น


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

 

คอนโดตรีภพตั้งตระหง่านอยู่ มีรถยุโรปกลางเก่ากลางใหม่แล่นมาจอด หมอตฤณแต่งตัวสุภาพเสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็ค หิ้วถุงของซุปเปอร์มาร์เกตมามือหนึ่ง อีกมือหิ้วเบียร์กระป๋องมา 2 แพค ลงมาจากรถตรงไปยังคอนโด

ตรีภพแต่งชุดนอน เดินตาปรือมาเปิดประตูห้องให้ตฤณตฤณหิ้วถุงเข้ามา
“ไงวะ"
“ไม่ไงโว้ย ง่วง"
ตรีภพเดินตาปรือไปยังเดย์เบดทิ้งตัวลงนอนคว่ำกางแขนกางขา ตฤณเดินไปเอาถุงวางบนโต๊ะกินข้าว เอาเบียร์เข้าตู้เย็น แล้วเดินมาดูสภาพตรีภพ
“เจออะไรเข้าไปวะ"
“ปิดกล้อง เจอเข้าไปสี่วันสี่คืนต่อกัน สัตว์ เด็ก เอ็ฟเฟ็กท์ สลิง ครบ ได้นอนรวมๆ กันไม่ถึง 10 ชั่วโมง นี่นอนชดเชยมาวันนึงแล้วยังไม่หายโทรมเลย"
“เออ ลุกขึ้นมากินอะไรก่อนไป"
ตฤณเอาเท้าเตะๆ เดย์เบด เร่ง ตรีภพลุกขึ้นนั่ง ตาปรือ
“ไม่อยากกินว่ะ"
“ปิดไปเรื่องนึง แล้วเรื่องใหม่เปิดกล้องเมื่อไหร่"
“อาทิตย์หน้า เห็นว่าจะไปปักหลักที่เชียงใหม่เดือนนึงเลย นี่เห็นทำท่าว่าจะไปถ่ายฉากหลักที่บ้านพี่แก้วกัน"
“เออดีโว้ย ปลายเดือนนี้ข้าลาพักร้อนจะได้ไปถล่มพี่แก้วด้วย"
“พอจะไปก็โทร.ไปบอกก่อนแล้วกัน"
ตฤณมีอาการอยู่ไม่สุข รื้อแมกกาซีนดู เห็นหนังสือบันเทิงหน้าปกรูปพิมพ์ดาว
“นี่มีข่าวว่าเอ็งใช้เส้น เอาแฟนเอ็งมาเล่นด้วยกันหรือ" ตฤณแซว
“ไม่ได้ใช้เส้น แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนด้วย"
ตรีภพลุกมารินกาแฟลงถ้วย ตฤณเปิดตู้เย็นรินนมลงแก้วบ้าง
“ถ้ายายเมย์ไม่ท้องขึ้นมา พิมพ์ดาวก็ไม่ได้เล่นหรอก"
ตฤณขยับเข้าใกล้ พูดกระซิบกระซาบหูตาแพรวพราว
“เฮ้ย แล้วน้องลินซี่นางเอกใหม่น่ะ เอ็กซ์จริงหรือเปล่าวะ โอโฮ้ แล้วตอนที่ผ้าหลุด เอ็งเห็นอะไรดีๆบ้างหรือเปล่า"
“ไอ้ตฤณ นี่เอ็งเป็นหมอโรคจิตหรือว่าเป็นคนไข้กันแน่วะ"
“เอ็งก็รู้ว่าข้าเป็นโรคแพ้นม"
ตฤณยกแก้วนมขึ้นดื่ม ตรีภพนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว บทคุ้มนางครวญปึกใหญ่วางอยู่ ตรีภพมองดูแล้วขรึมลง
“ไอ้ตฤณ เอ็งเคยมีอาการเดจาวูไหม"
“ไม่ค่อยว่ะ ทำไม เอ็งเดจาวูเรื่องอะไร"
“มันก็ไม่เชิงเดจาวูหรอก แต่ข้าเคยฝันเห็นผู้หญิงแต่งตัวเป็นเจ้านางทางเหนือ เรียกข้าว่าพี่เทพ เหมือนชื่อในบทละคร"
ตรีภพมีอาการคล้ายกระทบกระเทือนใจบางอย่าง ตฤณมองดูอาการ
“แล้วคำที่ผู้หญิงคนนั้นคร่ำครวญถึงข้า ก็เป็นคำพูดแบบเดียวกับที่อยู่ในบทละครเลย"
ตรีภพมองเลยไป ตฤณแปลกใจไปด้วย

เวลาเดียวกันนั้น พิมพ์ดาวนั่งขัดสมาธิบนเตียง มีบทละครทั้งเรื่องวางอยู่ พิมพ์เดือนนั่งห้อยขาอยู่ด้วย
“ต้องไปอยู่เชียงใหม่เป็นเดือนเลยหรือคะ"
“สามอาทิตย์มั้ง"
“ดีค่ะ ปลายเดือนนี้หนูปิดเทอมพอดี หนูจะได้ไปเป็นผู้ติดตาม"
“จะได้ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยายมาดามสุน่ะเขี้ยวจะตาย ดีไม่ดีเขามาหักค่ากินอยู่เธอจากค่าตัวฉันละตายเลย"
พิมพ์เดือนหัวเราะกิ๊ก “แหม… ให้หนูไปช่วยเสิร์ฟน้ำก็ได้"
“เธออย่าไปแย่งหน้าที่สวัสดิการเขาเลย"
พิมพ์ดาวรวบบทละครขึ้นมาแล้วมีอาการไม่สบายใจบางอย่าง พลางถอนหายใจน้อยๆ
“มีอะไรคะ พี่พิมพ์หนักใจเรื่องบทหรือ"
“เปล่า"
“แล้วมาทอดถอนใจใหญ่ทำไมคะ"
“นี่ ฟังพี่เล่าแล้วอย่าเอาไปพูดให้แม่รู้นะ"
พิมพ์เดือนสนใจมาก พิมพ์ดาวนึกเรียบเรียงคำพูด
“ค่ะ ค่ะ ไม่บอกค่ะ"
“พี่เคยฝันเห็นเรื่องราวแบบเดียวกับในบทละครนี่มาก่อน ในฝันนั่น พี่เป็นเจ้านางดาราราย มีนายตรีภพเป็นหลวงเทพอยู่ด้วย"
พิมพ์เดือนขมวดคิ้ว “เดจาวูหรือคะ"
“แต่ว่าเจ้ายอดหล้าในฝันนั่นไม่ใช่คุณลินซี่ แต่เป็นเจ้านางที่สวยมาก แล้วก็น่ากลัวมากด้วย"
พิมพ์เดือนตื่นเต้น “น่ากลัวยังไงคะ"
“นอกจากฝันครั้งนั้น พี่ยังฝันซ้ำๆซากๆ เห็นผู้หญิงคนนั้นอาฆาตมาดร้ายพี่ บอกจะจองล้างจองผลาญพี่ให้ถึงที่สุด"
“อี้ ยี้ วิญญาณอาฆาตหรือคะ อื๋อ น่ากลัวกว่าชัตเตอร์อีก"
พิมพ์เดือนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พูดกึ่งเล่นอยู่ พิมพ์ดาวค้อน
“นี่ รู้งี้ฉันไม่เล่าให้เธอฟังหรอก"
“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่พิมพ์ พี่พิมพ์อาจจะเครียดเรื่องงานน่ะ เลยเก็บเอาไปฝัน"
“ขอให้จริงเถอะ อย่าให้เป็นเรื่องผีๆสางๆเลย"
“อ้าว ไหนว่าพี่พิมพ์ไม่เชื่อเรื่องผีไงคะ"
“พี่ไม่ใช่ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ พี่แค่ไม่เชื่อพวกผีแม่ม่าย หรืออะไรๆ ก็วิญญาณเด็กคอยตามขี่คอต่างหาก"

รถพิมพ์ดาวแล่นมาวนหาที่จอดในลานหน้าออฟฟิศฐาปรณ์ วันนี้เป็นวันฟิตติ้งเสื้อผ้าหน้าผม และมีการเชิญนักข่าวบันเทิงมาทำข่าวด้วย จึงมีรถของสำนักข่าวต่างๆ รถของนักแสดง ทีมงาน แน่นลานจอดรถไปหมด รถพิมพ์ดาวเจอที่จอดห่างออฟฟิศสุดหล้าฟ้าเขียว แถมอยู่ข้างกองขยะมหึมา พิมพ์ดาวลงจากรถ มองดูตึกออฟฟิศ แล้วหน้างอ
“นี่ฉันทำกรรมอะไรไว้นะ"
พิมพ์ดาวเดินไป

ห้องอเนกประสงค์ ถูกใช้เป็นสตูดิโอถ่ายฟิตติ้งนักแสดงทั้งชุด ตรีภพ มาลาริน แต่งตัวใกล้เสร็จ นอกนั้นก็เป็นพวกกลุ่มดาราพ่อแม่ ได้แก่ เจ้าแสงอินทร เจ้านางหอมุก เจ้านางสร้อยคำ พระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำพา เถรกระอำ ครูบาสรี ฯลฯ
มีมี่ มูมู่ และเก้ง ต่างมีลูกน้องมาช่วย กรีดกรายกันขวักไขว่ เสียงเซ็งแซ่ยิ่งกว่าตลาดสด
ทางด้านหน้าห้อง ฐาปกรณ์ สุชาดา บีบี ยืนอยู่กับลูกกบ รัก และทีมงาน ประสานงานอื่นๆ
พิมพ์ดาวกับแพทที่โลกแคบได้บทในเรื่องเดียวกัน แถมเพิ่งโผล่เข้าห้องมาพร้อมกัน มาดามสุเชิดนิดหนึ่ง แต่บีบีออกนอกหน้า
“อ้อ มาแล้ว แม่พิมพ์ดาว"
“ต๊าย กว่าจะเสด็จมาได้"
ลูกกบเข้าไปรับ พิมพ์ดาวและแพทไหว้ ลูกกบพามาหาฐาปกรณ์ มีการไหว้กันวุ่นวาย
“หวัดดีๆ"
“สวัสดีค่ะ น้องพิมพ์ น้องแพท ไป เข้าไปฟิตติ้งเลย"
“ใช่ อย่าโอ้เอ้ แปลกนะ พระเอก นางเอกเขามากันตั้งแต่เช้ามืด แต่พวกนังตัวประกอบมากันสายตะวันโด่ง" บีบีกัด
แพทหน้าเสีย พิมพ์ดาวชะงักกึก ลูกกบสะดุ้ง
“คุณลูกกบคะ"
“ขา น้องพิมพ์"
“คุณลูกกบนัดพิมพ์กับแพทตอนเก้าโมงใช่ไหมคะ"
“ค่ะ"
“ตอนนี้เก้าโมงหนึ่งนาที เราสองคนคงไม่ได้โอ้เอ้ มาสายตะวันโด่งใช่ไหมคะ"
บีบีหน้าแตกไม่รู้จะทำอะไร เลยเชิดใส่
“ค่ะ เราต้องนัดนักแสดงให้เหลื่อมเวลากันจะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันเหนียงยานค่ะ" ลูกกบแดกดัน
บีบีสะดุ้งเอามือคลำคอ พิมพ์ดาวยิ้ม แพทชื่นชมพิมพ์ดาว ลูกกบพาสองคนไป
“สมน้ำหน้า อยู่ดีไม่ว่าดี ให้เด็กมันถอนหงอกเอา"
บีบีหันขวับมามองมาดามสุอย่างเอาเรื่อง มาดามสุทำหน้าซื่อหันมาหา
“นี่…ว่าใคร"
“ด่าไอ้รัก ผู้ช่วยค่ะ ชอบไปแส่ข้ามหน้าข้ามตาคุณฐา" มาดามสุบอก
รักคอหด ฐาปกรณ์รู้ว่าเมียหลอกด่าบีบี
“ใช่ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ตัวเองซักหน่อย จำไว้นะมึง ไอ้รัก"
ฐาปกรณ์ตวาด แอบขยิบตา รักกลั้นยิ้มยกมือไหว้ท่วมหัว
“ครับ คราวหน้าคราวหลังจะไม่แส่แล้วครับ"

ฐาปกรณ์ มาดามสุหันมาประสานยิ้มกับผู้จัดการจอมแส่ บีบีจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบ


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

ในเวลาต่อมา พิมพ์ดาว และแพทกำลังแต่งหน้าทำผมอยู่หน้ากระจกเงาตรงมุมแต่งตัว มีมี่ มูมู่ ทำงานมือเป็นระวิง แต่งพิมพ์ดาวเป็นเจ้านางเหนือ แต่งแพทเป็นสาวชาววัง ผมยาวประบ่าสวยสราญทั้งคู่

ส่วนที่กลางห้อง ตรีภพกับมาลารินแต่งตัวเสร็จแล้ว อยู่กับฐาปกรณ์ มาดามสุ และบีบี พิมพ์ดาวแอบมองเงาสะท้อนตรีภพ
ตรีภพยืนโพสท่าอยู่กับมาลาริน รักถ่ายรูปไว้จากมุมต่างๆ บีบีมาแส่สั่งการอีกตามเคย
“เอ้าลินซี่ ซบอกน้องตรีซีคะ ลูกขา"
ฐาปกรณ์กับมาดามสุยืนอยู่ข้างหลัง
“อีเจ๊นี่ มันจะมาแส่อย่างนี้ทุกวันหรือคุณ"
“อีนี่คอนเนกชั่นมันเยอะ ยอมๆ มันไปก่อนเถอะคุณ"
มาลารินทำอิดออดหน้าแดงแล้วกอดซบหน้าในแขนตรีภพ
“ตาย ต้องกอดกันอีกแล้ว"
“มันเป็นงานครับ"
พิมพ์ดาวมองเงาสะท้อนในกระจกเขม็ง
ด้วยอะไรบางอย่าง ตรีภพรู้สึกขึ้นมา เอียงหน้ามองไป เห็นพิมพ์ดาวมองเขม็งอยู่
พิมพ์ดาวมองในเชิงว่า 'กะอยู่แล้ว พวกเสือผู้หญิง’
ตรีภพสบตาในเชิงว่า 'ทำงานอยู่มาหวงอะไรตอนนี้’
พิมพ์ดาวเชิดหน้าขึ้น แล้วจึงเห็นว่า มีมี่กับมูมู่ไปยืนซุบซิบมองพฤติกรรมของตนอยู่
“อย่าคิดมากเลยค่ะ คุณพิมพ์"
“เปล่านะคะ"
ตรีภพแข็งขึงไปนิดหนึ่ง มาลารินรู้สึก มองหน้าตรีภพ แล้วมองตามสายตาตรีภพ พอดีกับพิมพ์ดาวมองมาอีกที ตรีภพขยับถอยออก
“พอก่อนเถอะครับ"
“แหม ขออีกมุมก่อนเถอะค่ะ นะคะ ลูกขา"
“ไม่ได้ครับ ผมปวดฉี่"
ตรีภพเดินผละไป มาลารินมองตามตาแป๋ว บีบีเข้ามากระพือพัดให้
“เป็นไงบ้างคะ ลูกขา เหนื่อยไหมคะ"
“ต่อให้ต้องกอดไปถึงตีสาม ก็ไม่เหนื่อยค่ะ"
มาลารินพูดหน้าตาเฉย ท่าทียังดูใสซื่ออยู่ บีบีอ้าปากค้าง

ในขณะที่ตรีภพเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วต้องชะงัก ตรงหน้าเขาเป็นสวนหย่อมเล็กๆ มีกระถางกล้วยไม้แขวนไว้กับบรรดาไม้เลื้อย พิมพ์ดาวในชุดเจ้านางดารารายยืนอยู่ ดูงดงาม แก่นแก้วซุกซนมากกว่าจะเป็นนางร้าย พิมพ์ดาวหันมาเห็นตรีภพ กับสายตาที่มีแววนิยมชมชื่นก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
“นี่คุณ"
ตรีภพยิ้มกริ่ม “ครับผม"
“ทำไมถึงมีข่าวว่าคุณใช้เส้นยัดฉันเข้ามาเล่นละครเรื่องนี้"
“คุณก็ไปถามพี่นักข่าวดูซีครับ ทำไมถึงมาถามผมล่ะ"
“คุณจะบอกว่าคุณไม่รู้เรื่องด้วยใช่ไหม"
ตรีภพนิ่งคิดแล้วสั่นหน้า “เปล่า"
พิมพ์ดาวงง “แปลว่าอะไร"
“ก็แปลว่าผมมีส่วนด้วยนิดหน่อยน่ะซี"
พิมพ์ดาวก้าวมาใกล้ “นิดหน่อยยังไง"
“ก็ตอนที่คุณเมย์เกิดคันเป็นพิษต้องถอนตัวน่ะ พี่ฐากับมาดามไม่รู้จะหาใครมแทน มาถามผมว่ามีไอเดียอะไรไหม ผมก็บอกว่ามีคุณอีกคนที่น่าจะเล่นบทนี้ได้"
“ฮึ ฝีมือคุณจริงๆ"
“แต่ยืนยันได้ ผมเสนอแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้ล็อบบี้ ไม่ได้ไซโค ไม่มีเส้นมีสายอะไรทั้งนั้น"
“แต่ยังไงฉันก็ไม่ชอบให้มีข่าวซุบซิบอะไรแบบนี้"
“ทางออกก็มีอย่างเดียว"
พิมพ์ดาวจ้องหน้าเขา “ยังไง"
“คุณก็ต้องเล่นบทนี้ให้สมบทบาท ให้เต็มที่ และก็ให้ดีที่สุด จนไม่มีใครกล้าว่าคุณอีก"
ตรีภพพูดอย่างจริงจัง มีการให้กำลังใจอยู่ในท่าที พิมพ์ดาวอ่อนลง
“ก็ได้ อ้อ แล้วคุณก็ไปได้แล้ว เจ๊บีบีกับคุณลินซี่ตามหาคุณอยู่"
“โอเค ผมไปล่ะ"
ตรีภพเดินไป พิมพ์ดาวมองตาม รู้สึกดีกับเขาขึ้นมานิดหนึ่ง

พิมพ์ดาวสวยเฉิดฉายในชุดเจ้านางดารารายโพสท่าให้ถ่ายรูป รักเป็นคนถ่าย ฐาปกรณ์ มาดามสุ เป็นคนคุม ส่วนบีบี เมื่อเป็นพิมพ์ดาวก็ไปนั่งคุยกับตรีภพและมาสารินแทน
“ขอจิกๆ ร้ายๆ อีกหน่อยครับ" รักบอก
พิมพ์ดาวเชิดทำหน้านางร้าย
แพทในบทคุณเพ็ง และดารารุ่นใหญ่ ลูกกบ มีมี่ มูมู่ เก้ง ที่งานเสร็จแล้วรวมทั้งทีมงานอื่นๆ ก็มาดูกัน ฐาปกรณ์กับมาดามสุพอใจพิมพ์ดาว
“เออดีๆ สวยแต่ร้าย"
“ฉันสมัยสาวๆก็อย่างนี้แหละ" มาดามสุว่า
ฐาปกรณ์เซ็งเมีย พิมพ์ดาวเปลี่ยนท่าไปเป็นร้ายแบบจอมวางแผน ตรีภพอมยิ้ม บีบีมองพิมพ์ดาวแล้วทำหน้าแสยะ มาลารินจับตาดูอาการตรีภพ
“โอเคครับ"
พิมพ์ดาวพัก มีมี่ มูมู่ เข้ามาซับหน้า จัดปิ่นดอกไม้ทองแล้วถอยออก มาลารินเข้ามายิ้มหวาน จับ 2 มือพิมพ์ดาวอย่างสนิทสนม
“ลินซี่ ดีใจจังค่ะที่ได้ร่วมงานกับพี่พิมพ์"
“ค่ะ ยินดีเช่นกันค่ะ"
บีบีมองอย่างไม่พอใจ
“ลินซี่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ พี่พิมพ์จะแนะนำอะไร ทำได้เต็มที่เลยนะคะ"
พิมพ์ดาวพูดจาขวานผ่าซากตามเดิม “คงไม่มีอะไรแนะนำหรอกค่ะ คุณลินซี่ก็ดูเจนโลกอยู่แล้ว"
มาลารินสะดุ้ง ทำตาโต บีบีชะงักร้อง “ว้าย"
มาลารินฉงน “ว้อท?"
พิมพ์ดาวอธิบาย “ฉันหมายความว่าดูโซฟิสติเคทนะคะ"
มาสารินพยักหน้า “โอ ไอซี เข้าใจแล้วค่ะ พี่พิมพ์"
“เอ้อ แล้วอีกอย่างนึง คุณลินซี่กับฉันอายุเท่ากัน อย่าเรียกฉันพี่เลยค่ะ"
มาลารินอึ้งไปนิดก็ยิ้มพริ้มพราย รักเข้ามา กับฐาปกรณ์
“ขอสองพี่น้องคู่กันนะ"
มาลารินขยับมายืนข้างพิมพ์ดาว มาลารินอยู่ซ้าย พิมพ์ดาวอยู่ขวา เอียงหน้าหากัน
“สวยมากครับ" รักยิ้มชอบใจ
บีบีร้องเสียงแปร๋น “หยุด"
ฐาปกรณ์ตาเขียวหันขวับไป รักเซ็งจนพูดไม่ออก
“อะไรอีก"
“หน้าลินซี่ด้านซ้ายสวยกว่าด้านขวาค่ะ เอ้า สลับข้างกันซิคะลูกขา"
“เชิญค่ะ"
พิมพ์ดาวบอก พลางกลั้นหัวเราะ รุนหลังมาลารินให้สลับข้าง ฐาปกรณ์หน้าหงิก มาดามสุเชิดใส่บีบี พิมพ์ดาวกับมาลารินโพส ตรีภพก้าวมามองอย่างชื่นชม พิมพ์ดาวสบตาเขาแล้วเชิดใส่

เหตุเพราะจะมีการไปบวงสรวง “คุ้มนางครวญ" กันที่คุ้ม และกลัวนักข่าวจะไปกันไม่ได้ ในตอนบ่ายของวันฟิตติ้งจึงมีการทำข่าวรอบแรกก่อน
บรรดานักแสดง ทีมงานละครยืนเรียงรายหน้าบริษัท ฉีกยิ้มโพสท่าถ่ายรูปกัน บีบีวิ่งวุ่นออกหน้า
ตรีภพกับมาลารินถ่ายคู่กัน มาสารินซบตามเคย นักข่าวรุมถ่าย สั่งท่า กำกับท่ากัน
มาลารินจับคู่กับพิมพ์ดาว มาลารินตาแป๋วสดใส พิมพ์ดาวยิ้มแต่ไม่ไว้ใจ
ตรีภพยืนขนาบข้างด้วยมาสารินกับพิมพ์ดาว มาสารินเบียด นักข่าวบอกให้พิมพ์ดาวเบียดด้วย พิมพ์ดาวอึ้งแล้วก็เบียดด้วย ตรีภพอมยิ้ม
บรรดานักแสดงอาวุโสยืนทำตาปริบๆ ด้วยความริษยา พิมพ์ดาวกับแพทถ่ายคู่กัน ยิ้มสนิทสนม
ส่วนบีบีวิ่งวุ่นโพสท่าต่างๆ มีเปลี่ยนเสื้อผ้า เครื่องเพชรเป็นระยะ
ฐาปกรณ์กับมาดามสุทะเลาะกัน พอนักข่าวมาถ่าย 2 ผัวเมียฉีกยิ้มโอบกันหวานฉ่ำ รักกันลั่นเปรี้ยง
มีมี่ มูมู่ โพสท่าถ่ายรูปกันเอง เก้งเป็นตากล้อง ตรีภพถ่ายรูปเดี่ยว มาดามสุถลามาถ่ายคู่ ยื่นมือลูบแผงอกตามเคย
มาลารินถ่ายคู่กับตรีภพมากพอแล้ว นักข่าวขอรูปตรีภพคู่พิมพ์ดาว แต่พิมพ์ดาวอิดออด นักข่าวดึงมา แล้วรุนมาลารินเซหลุนๆหายไป
ตรีภพยิ้มร่า พิมพ์ดาวฝืนยิ้ม นักข่าวขอให้ยืนชิด พิมพ์ดาวขยับให้ 1 มิลฯ ตรีภพเลยโอบเอวดึงมา พิมพ์ดาวยิ้มเป็นเชิงฝากไว้ก่อนเหอะ
ฟากมาลารินถอยมายืนข้างบีบี มาสารินตาวาวหลุดบท บีบีทำหน้ากินเลือดกินเนื้อ พอนักข่าวเข้ามาถาม 2 คนยิ้มหวานทันที
กว่าจะมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้ากันก็มืดแล้ว ลานจอดรถเริ่มว่างวาย พิมพ์ดาวเดินกระปลกกระเปลี้ยไปยังรถที่จอดห่างไปเกือบกิโล มีรถสปอร์ตแล่นมาชะลอข้าง พิมพ์ดาวไม่สนใจเพราะรู้ว่ารถใคร ตรีภพเลื่อนกระจกลง
“รถคุณจอดอยู่ไหนนี่"
“ตรงที่จอดรถ น็อนวีไอพี ข้างกองขยะ"
ตรีภพตาพราว “ขึ้นมาซี ผมจะไปส่ง"
“ไม่ต้อง ฉันมีขา เรี่ยวแรงฉันยังดี…ว้าย"
ไม่ทันขาดคำ พิมพ์ดาวก็สะดุด หัวทิ่มเกือบคว่ำหน้า ตรีภพร้องเฮ้ย จอดรถรีบลงมา
“คุณ! เป็นอะไรบ้าง"
พิมพ์ดาวหน้าแตก รองเท้าข้างหนึ่ง แผ่นหนังหลุดจากพื้นทั้งแผง
“ฉันไม่เป็นไรย่ะ"
พิมพ์ดาวลังเลแล้วลงจากรองเท้า ตัวเตี้ยลงไปไม่ใช่น้อย ตรีภพทำตาปริบๆ
“ไง ตอนนี้จะขึ้นรถผมได้หรือยัง"
“ฉันเดินเท้าเปล่าได้ ว้าย"
พิมพ์ดาวขยับเดิน มือหิ้วรองเท้า เดินไปได้ 2 ก้าวก็ร้องสุดเสียง ผวามา ตรีภพคว้าไว้
“โอ้โฮ ทุ่นระเบิดหมาเต็มเลย ถามครั้งสุดท้ายนะ จะขึ้นรถผมไหม"
“เชอะ" พิมพ์ดาวค้อน ตรีภพมอง “ขึ้นก็ได้"
พิมพ์ดาวเดินฉับๆ มาจะขึ้นรถ ตรีภพเดินมาทำท่าคล้ายจะเปิดประตูให้แบบสุภาพบุรุษ
“ไม่ต้องมาทำสุภาพบุรุษเปิดประตูให้ฉันหรอก"
“ใครบอกล่ะ ผมมาขวางว่าอย่าเพิ่งขึ้น"
พิมพ์ดาวตาเขียว “นี่จะมาเล่นแง่อะไรกับฉันอีก"
“ไม่ได้เล่นแง่ แค่ขอเช็คก่อนว่าคุณไม่ได้เหยียบขี้หมามาขึ้นรถสปอร์ตผม"
ตรีภพมองอย่างซีเรียส พิมพ์ดาวยิ่งโมโห

ตรีภพขับรถมาช้าๆ พิมพ์ดาวเชิดหน้า
“เสาร์นี้คุณจะไปไหม"
“ไปไหน ไปอะไร"
“ก็คุณน้ากับน้องเดือนชวนผมมไปทำบุญไง"
พิมพ์ดาวยิ่งโมโห ที่ตรีภพยิ่งมาทำสนิทสนม
“ฉันไม่ชอบไปทำบุญที่วัด"
“ยังไง ไปแล้วร้อน เข้าเขตวัดไม่ได้เหรอ"
“ฉันไม่ใช่ผี แต่ไปวัดทีไร ชาวบ้านชอบแห่มาดู กับพระมาขอถ่ายรูปคู่ ยิ่งคุณไป วัดไม่แตกเหรอ"
ตรีภพหัวเราะ
“โธ่ วัดที่เรากำลังจะไปเป็นวัดปฏิบัติ ไม่มีอะไรแบบนี้หรอก ไปเถอะคุณ ทำบุญซะ ละครเรื่องนี้จะได้ราบรื่นไง เอ้า ถึงแล้ว"
พิมพ์ดาวมองหน้า รถมาถึงกองขยะพอดี
“ฉันไปละ" หล่อนเปิดประตู ลังเลนิดหนึ่ง แล้วหันมา “ขอบใจ"
พิมพ์ดาวลงไป ตรีภพกลั้นยิ้ม
พิมพ์ดาวลงไปขึ้นรถตัวเอง รถตรีภพยังจอดรอ พอพิมพ์ดาวออกรถไป รถตรีภพแล่นตามแล้วแยกไปทางอื่น
พิมพ์ดาวอยู่ในรถตัวเอง มองดูรถตรีภพในกระจกส่องหลัง มีแมสเซจเข้าที่มือถือ พิมพ์ดาวหยิบมาเปิดดู
'พรุ่งนี้เจอกัน เมมเบอร์ผมไว้ด้วย’
พิมพ์ดาวโยนมือถือลงเบาะท่าทีหงุดหงิด

“ใคร ใครเป็นคนให้เบอร์ฉันไป แม่หรือยายเดือน"


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

ที่คุ้มร้างตอนค่ำวันเดียวกัน ภาพพิมพ์ดาวที่กรุง้ทพฯ กลายเป็นภาพในขันน้ำ น้ำไหวเป็นระลอกแต่พร่าเลือน ดูไม่ชัดเอาเลย

เจ้านางยอดหล้าอยู่บนตั่ง เพ่งดูขันสาครตรงหน้า นางผัน นางเผื่อน คุกเข่ากับพื้นชะเง้อดู คุ้มร้างอยู่ในสภาพงดงามวิจิตร บรรจงน้ำไหวรุนแรงขึ้น ภาพพิมพ์ดาวหายวับไป ยอดหล้าโกรธเกรี้ยว เงยหน้าขึ้น
“ทำไม ทำไม ข้าถึงมองไม่เห็นนังดารารายซักที"
“มันยังมีบุญคุ้มตัวมันอยู่กระมังเจ้า" ผันว่า
ยอดหล้าแค้นนัก “บุญอันใด มันคือคนบาป ก่อกรรมทำเข็ญกับข้าไว้หนักหนานัก แต่มันกลับได้เสวยสุข ได้ครองคู่อยู่กับพี่เทพ"
เผื่อนเสริม “นั่นแหละเจ้า ต่อไปเจ้านางน้อยก็จะหมดบุญ ถูกเจ้านางชำระโทษมันอย่างสาสม"
“ใช่ นังดารารายมันโป้ปดมดเท็จ ใส่ร้ายให้ข้าเป็นคนบาปมานานนัก…ต่อไปทุกผู้คนจะได้รู้เสียที ว่าความจริงเป็นเช่นไร"

วันรุ่งขึ้นมีการนัดตัวละครสำคัญมารีดทรู ฉากสำคัญๆ ของละคร ตลอดช่วงเช้าและบ่าย มีการจัดเก้าอี้ล้อมเป็นวง ตรีภพ มาลาริน พิมพ์ดาว แพท ซึ่งรับบท หลวงเทพ ยอดหล้า ดาราราย คุณเพ็ง นั่งอยู่ ส่วนฐาปกรณ์ มาดามสุ รัก และลูกกบ ก็จะอ่านบทของตัวละครประกอบอื่นๆให้
“ช่วงเช้านี้เราจะรีดทรู 6 ตอน เฉพาะฉากที่ไฮไลท์ไว้นะ"
ตรงหน้าของทุกคนมีบทวางอยู่ ในบทมีไฮไลท์ที่หัวขีดเฉพาะฉากสำคัญ
“ลองอ่านบทออกเสียงแบบเวลาเล่นจริงๆ ไม่เอาแบบละครเวที หรือละครวิทยุนะ" ฐาปกรณ์บอกอีก
ตรีภพ พิมพ์ดาวพอจะเข้าใจ มาลาริน กับแพทไม่รู้เรื่อง ทำตาปริบๆ
“ส่วนบทผู้ใหญ่ในเรื่อง พี่กับคุณสุจะอ่านให้ ส่วนลูกกบกับไอ้รักจะอ่านบทตัวย่อยๆ ให้"
ลูกกบรับ “ค่ะ เป็นขี้ข้าฝ่ายหญิงค่ะ"
รัก รับตาม “ผมขี้ข้าฝ่ายชายครับ"
มีการหัวเราะคิกคักเล็กน้อย ทันใดบีบีก็เดินฉับๆ เข้ามา เครื่องเพชรแพรวพราวเช่นเคย อีกมือลากเก้าอี้ครูดพื้นดังกึงกังเข้ามาแทรกหน้าตาเฉย ทุกคนอึ้งตะลึงงันไป
“เอ้า ลินซี่ กระเถิบหน่อยค่ะ ลูกขา แม่พิมพ์พิลาไลหลบหน่อยซียะ"
ฐาปกรณ์เซ็งมองหน้ามาดามสุ ถามเบาๆ
“ใคร ใครไปจุดธูปเรียกอีนี่มา"
บีบีนั่งลงระหว่างมาลารินกับพิมพ์ดาว ยิ้มให้กับทุกคน แถมควักบทมาวางด้วย
“อยู่ว่างๆ ก็เลยมาช่วยอ่านบทค่ะ"
“เออ!"
ฐาปกรณ์เซ็งสุดขีด เอามือกุมหัว มีอาการคล้ายจะเป็นบ้า มาดามสุบีบแขนให้สงบไว้ บีบีทำไม่รู้ไม่ชี้ ฐาปกรณ์สงบสติอารมณ์
“เอ้า… เริ่มได้"
ทุกคนเตรียมตัวอ่านบท จู่ๆ ไฟเพดานก็หรี่ลงนิดหนึ่ง ทุกคนแหงนมองดูไฟ
มาดามสุ บอก “แค่ไฟตก… เริ่มเถอะค่ะ"
มาลารินเริ่มเตรียมตัวอ่าน

ในคุ้มร้างเวลาเดียวกันนั้น ใบหน้ายอดหล้ามองตรงมายังเบื้องหน้า
“ทุกผู้คนจะได้รู้กันเสียที ว่าความจริงเป็นเช่นไร"

มาลารินเริ่มอ่านบท เป็นเจ้านางยอดหล้าที่แสนอ่อนหวาน
“เจ้านกน้อยๆ มากินข้าวมา ผัน เผื่อน ช่วยข้าโปรยข้าว เร็ว"
ลูกกบอ่าน “เจ้า เจ้านางเจ้า"
“เจ้าดูซี นกน้อยพวกนี้น่ารักเหลือเกิน"
มาลารินแอ๊บสวยได้แนบเนียนพอควร ตรีภพกับพิมพ์ดาวมอง บทสนทนาที่อ่านอยู่กับลูกกบ เป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นจริงเมื่อครั้งอดีต

เวลานั้นหลังคุ้มน้อย ปัจจุบันมันคือคุ้มร้าง มีลานกว้างปูด้วยอิฐ รอบด้านตกแต่งด้วยไม้กระดาน พวกว่านใบต่างๆ ขณะนี้ลานอิฐเต็มไปด้วยนกมากมาย พวกนกเขา นกกระจอก ฯลฯ
เจ้านางยอดหล้าดูงดงามสดใส ผมเกล้าสูงปักดอกไม้ มีผ้าคาดอก และซิ่นกรอมเท้า ผ้าคล้องไหล่ดูวูบวับมีราคา ในมือถือขันใส่ข้าว กำลังโปรยปรายข้าวให้นกกิน นางผัน นางเผื่อนก็ถือขันข้าวคนละใบ กำลังโปรยปรายข้าวอยู่ ไม่ได้มีความสุขนัก เพราะนกบินมารุมเต็มตัว
“เจ้า ว้าย อีตัวนี้จิกหัวข้าเจ้า"
ผันร้องลั่น เอามือปัดมวยผม เผื่อนหัวเราะเยาะ
“สมน้ำหน้า"
ผันค้อนขวับ เผื่อนหัวเราะอีก ทันใดก็มีของเหลวสีขาวตกแปะบนไหล่เผื่อน
“ว้าย ขี้"
“เจ้านางเจ้า อีนกน้อยมันขี้รดข้าเจ้าเจ้า"
เผื่อนฟ้อง เต้นเร่าๆ ยอดหล้าทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
“เจ้านี่นะ น่าชังจริง"
ทันใดนั้นนกทั้งฝูงก็แตกฮือขึ้น ทั้งฝูงบินหนี ยอดหล้าเอามือป้องผม ผัน และเผื่อนวี้ดว้ายตามประสา จังหวะนี้ร่างระหงของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดคล้ายกันก้าวมา เป็นเจ้านางดาราราย น้องสาวต่างมารดาของยอดหล้า ซึ่งในมือถือหน้าไม้มาด้วย ตามหลังด้วย 2 นางบริวาร นางทิพย์ นางทิม หน้าตาหมดจด ยอดหล้านิ่วหน้า
“เจ้านี่เอง ดาราราย"

พิมพ์ดาวเตรียมอ่านบทตัวเอง มาลารินอ่านบทนำ
“เจ้าทำให้นกของข้าตื่นหนีหมด"
“ท่านกล่าวหาข้าผิดแล้วเจ้าพี่ โน่นต่างหาก"

มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลานหลังคุ้มน้อยเมื่ออดีตอีกเช่นกัน
ดารารายชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า ยอดหล้าแหงนตาม บนท้องฟ้า มีนกสีดำตัวใหญ่ บินวนอยู่
“นกกาหรือ ตัวใหญ่จริง"
“อีกายักษ์ตัวนี้ เพิ่งฉกเนื้อมาจากเรือนครัว ข้าจะสั่งสอนมันซักหน่อย"
ขาดคำ ดารารายก็ประทับหน้าไม้ หลิ่วตาเล็งไป
“ดาราราย อย่าเลย สงสารมัน"
ลูกดอกพุ่งออกจากแหล่งดังขวับ พุ่งขึ้นฟ้า เข้าตรงปีกอีกาใหญ่จังๆ มันร้องแก๊กยาว ปีกหักตกลงสู่พุ่มไม้
ดารารายยิ้มร่าดีใจ นางทิพย์ นางทิม หัวเราะคิก นางผัน นางเผื่อน ค้อนขวับ
“โดนแล้วเจ้า เจ้านางน้อย" ทิพย์กระดี๊กระด๊า
“เจ้าใจร้ายนัก ดาราราย"
ยอดหล้าหันไปเอาผ้าคลุมไหล่ผืนงามจับอีกาใหญ่ขึ้น มันตีปีกด้วยความตกใจ
“นกน้อย นกน้อย ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่เป็นไรแล้ว"
คล้ายอีการับรู้ได้ มันสงบลง ดารารายหน้าบึ้ง
“เจ้าพี่ เจ้าพี่จะทำอันใด อีกานี่เป็นของข้า"
“ขอให้ข้าเถอะ ข้าจะเยียวยามันให้หาย"
“แค่อีกาตัวเดียว ก็ได้ ข้ายกให้ท่าน"
“ขอบใจเจ้า ครั้งนี้ข้าติดหนี้เจ้าครั้งหนึ่ง คราวหน้าเจ้าประสงค์สิ่งใดข้าก็จะยกให้เจ้า"
“จริงนะ"
“ข้าสัญญา" ยอดหล้าให้คำมั่น

องค์พระปฏิมาตั้งตระหง่าน ในวิหารระยิบระยับด้วยแสงเทียน ควันธูปตบอบอวล เบื้องหน้าพระปฏิมา ยอดหล้าและดารารายในภูษาวูบวับ มีเครื่องประดับเต็มที
ทางด้านหลัง นางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ และนางทิมนั่งสลอนอยู่
“เจ้าแม่ข้ากับเจ้าแม่เจ้า ทะเลาะกันอีกแล้ว"
“คราวนี้เรื่องอันใดอีกเล่า"
ยอดหล้าหน้าแดง
“วันก่อนเจ้าพ่อให้ครูบาสรีทำนายโชคชะตาราศีเราสองคน ครูบาทำนายว่า ข้ากับเจ้า จัก จัก…"
“จักอันใด" ดารารายซัก
“จักแย่งชิงผู้ชายคนเดียวกัน และจักกลายเป็นศัตรูกัน"
“ฮึ หมอดูคู่กับหมอเดา ข้าไม่เชื่อดอก"
“ข้าก็ไม่เชื่อ"
ดารารายมองดูยอดหล้า เห็นท่าทีพรั่นพรึง
“ท่านไม่เชื่อ แต่ทำไมถึงได้หวาดกลัวนัก เอาเถอะ ข้าขอให้คำมั่นต่อหน้าพระปฏิมา ว่าข้าไม่มีวันแย่งชิงชายคนนั้นของเจ้าพี่เป็นอันขาด"
ยอดหล้ายิ้ม นางผัน นางเผื่อนเบ้หน้าว่าอย่าไปเชื่อ นางทิพย์ นางทิมเห็นก็สะบัดหน้าใส่
“หากแม้นวันใดข้าคิดคด ตระบัดสัจวาจานี้ ขอให้ข้าจงตายด้วยทัณฑ์ทรมาน ตายแล้วก็จงอย่าได้ผุดได้เกิด ให้…"
ยอดหล้าหน้าเสีย ฉุดมือดารารายไว้ให้หยุดสาบาน

“พอเถิดพอ ข้าเชื่อเจ้าแล้ว"


คุ้มนางครวญ

คุ้มนางครวญ

แค่อ่านบทมาลารินยังคงออกอาการอินสุดๆ ทำท่าสวยหวานแสนดี พิมพ์ดาวทำเสียงแข็งกระด้างกว่าปกติ บีบีชื่นชมลูกสาว ฐาปกรณ์ มาดามสุค่อนข้างพอใจ

ตรีภพอ่านบทตัวเอง
“นั่นเสียงเครื่องดนตรีอะไร ไพเราะจริง"
รัก ต่อบทให้ “อ๋อ นี่เสียงเครื่องดีด ชาวเหนือเรียกว่าซึงขอรับ คุณหลวง"

เหตุการณ์ในอดีตผุดซ้อนการต่อบทของตรีภพกับรัก
บริเวณชายป่าไม่รกทึบ แสดงว่ามีผู้คนสัญจรผ่านอยู่บ้าง บนคาคบไม้มีกล้วยไม้บานอยู่เป็นระยะ ไกลไปเป็นน้ำตกไม่สูงนัก ลดหลั่นลงมาเป็นลำธาร น้ำในลำธารไหลเซาะโขดหินดังเสนาะ เข้ากับเสียงซึงที่บรรเลงพลิ้วไพเราะ
หลวงเทพโผล่มาจากแนวต้นไม้ มีกิ่งไม้ดอกบังตาจึงแหวกออก เผยให้เห็นโขดหินริมธาร ยอดหล้านั่งบนโขดหินมีเพียงผ้าคาดอก และซิ่น บนมวยผมปักดอกกล้วยไม้ เท้าเปล่าเปลือยขาวสะอาดระน้ำ บนตักมีซึงคันงาม ยอดหล้าดีดซึงอย่างชำนาญและปล่อยอารมณ์ ในน้ำ นางผัน นางเผือน นุ่งซิ่นเปลือยอก แต่มีผมปิดไว้
“เพลงอันใดมีแต่เสียงติงๆตึงๆเจ้า"
“เจ้านางใยไม่ขับเพลงด้วยล่ะเจ้า"
“เพลงนี้ข้าแต่งไว้เพียงทำนอง แต่เนื้อเพลงแต่งเท่าใดก็ไม่เหมาะใจเสียที"
ผันคิกคัก “ฮิ ฮิ ฮิ เจ้านางต้องหาคนรู้ใจมาช่วยเจ้านางแต่งเนื้อเพลงแล้วล่ะเจ้า"
“ฮึ คนรู้ใจอันใด ทุกคนที่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ชักพามาให้ข้า ล้วนเชี่ยวชาญแต่เพลงดาบเชิงอาวุธ หามีผู้ชำนาญบทเพลงไม่"
ยอดหล้าวางซึงลง แล้วเห็นดอกไม้ออกดอกงามก็ขยับไป หลวงเทพสะดุ้งเฮือก
“ช่อนั้นแหละเจ้านางเจ้า งามนักเจ้า" ผันบอก
ยอดหล้าดึงดอกไม้ติดมือมา เห็นหลวงเทพอยู่หลังกอดอกไม้ ยอดหล้าร้องอุทาน ผัน และเผื่อนร้องวี้ด ยอดหล้าขยับถอยกรูดแล้วเซล้ม
“ว้าย"
หลวงเทพพรวดออกมาประคองยอดหล้าขึ้น นางผัน นางเผื่อนขึ้นจากน้ำ ตวัดผ้ามาคล้องปิดอก เข้าดึงยอดหล้าออก
“เจ้า เจ้าคนชั่ว"
“กล้าดียังไงมาแอบดูพวกข้าอาบน้ำ"
หลวงเทพยืดกายตรง เห็นใบหน้าที่งามราวแดนอินทร์ นางผัน นางเผื่อนตะลึงไป ยอดหล้ามองแล้วใจวูบวับ
“ขออภัยด้วยเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าเดินทางผ่านมาแล้วได้ยินเสียงดนตรี ไพเราะเหมือนดนตรีทิพย์จากแดนสรวง"
ยอดหล้ายิ้มนิดๆ ผัน และเผื่อนเริ่มระริกกับคารมหวาน
“ข้าจึงเดินตามเสียงมา ไม่คิดว่าจะเป็นการล่วงเกินพวกท่าน"
“แม้นมิได้ตั้งใจ ก็แล้วไปเถิด ฮิ ฮิ ฮิ"
เผื่อนเอาผ้าคลุมไหล่ให้ยอดหล้า พูดเบาๆ
“เจ้านางเจ้า"
หลวงเทพมีอาการเดาได้ว่ายอดหล้าคือใคร
“ท่านเป็นผู้ใดกัน"
“ข้าชื่อ.. เทพ เป็นพ่อค้ามาจากเมืองใต้" ผัน และเผื่อนออกอาการเซ็ง
“ใช่มากับคณะทูตจากเจ้าเหนือหัวของท่านหรือไม่" ยอดหล้าถามซัก
“ใช่แล้ว"
“ผิวพรรณวรรณะท่านงามกว่าจะเป็นพ่อค้า ท่านน่าจะเป็นหนึ่งในคณะทูตมากกว่า"
“ท่านรอบรู้ยิ่งนัก"
“ถ้าเดาไม่ผิด ท่านคือหลวงเทพภักดี บุตรชายของพระยาพิชิตชัย ราชทูต"
คราวนี้ ผัน และเผื่อนตาโต หยิกสะกิดกัน หลวงเทพอมยิ้ม
“ส่วนท่านก็สมดังที่ผู้คนเล่าลือจริงๆ เจ้านางยอดหล้า"
ยอดหล้าตาโต ยิ่งรู้สึกผูกพันกับชายหนุ่ม

ที่ศาลาริมท่าน้ำ ตกแต่งด้วยม่านบางเบาและพวงมาลาดอกไม้หอม ยอดหล้าอยู่บนตั่งกำลังเล่นเพลงซึง เสียงดนตรีนั้นฟังดูวูบวับแปลกหู หลวงเทพนั่งอยู่ตรงข้าม ฟังเพลงอย่างชื่นชม นางผัน นางเผื่อนหมอบอยู่กับพื้นกิ๊กกั๊กกัน ยอดหล้าพรมนิ้วลงบนสายซึง ใบหน้าเปล่งปลั่ง ดวงตาสดใส มองดูหลวงเทพ เมื่อเห็นแววตาชื่นชมก็หน้าแดงหลบตา
“เจ้านาง ปรีชาสามารถนัก คราก่อนท่านบรรเลงเพลงเป็นเสียงธารน้ำไหล ก็เป็นเสียงธารน้ำจริงๆ"
“แล้วเพลงนี้เล่า ทำให้ท่านนึกถึงอะไรเจ้า พี่เทพ"
หลวงเทพนิ่งฟัง เงยหน้าขึ้น หลับตาลง ยอดหล้ามองอย่างหลงใหล หลวงเทพลืมตาขึ้น เสียงเพลงดังวูบวับ
ม่านบางเบาถูกลมยามดึกพัดเปิด เผยให้เห็นท้องฟ้าดำสนิท มีดาวพราวฟ้าวูบวับ หลวงเทพยิ้ม
“ว่าอย่างไร"
“เพลงนี้ชวนให้นึกถึงท้องฟ้าราตรี มีดาวพราวฟ้า บ้างวูบดับ บ้างเจิดจ้า บ้างหรี่แสง บ้างทอแสงนวล เป็นดวงดาราที่ซุกซนนัก"
ยอดหล้าทึ่ง “ท่านคือผู้เชี่ยวชาญในเชิงดนตรีจริงๆ"
ยอดหล้าบรรเลงเพลงต่อไป หลวงเทพมองยอดหล้าชื่นชม แล้วมองเลยไปก็ตกตะลึงจังงัง
ตรงหน้า เป็นดารารายถือขนน้ำยืนชะงักอยู่ มองดูหลวงเทพอย่างตกตะลึงจังงัง หลวงเทพมีอาการอึ้ง ขยับตัว ยอดหล้ามองอย่างแปลกใจ เลิกดีดซึง
“อันใดหรือเจ้า พี่เทพ"
หลวงเทพไม่ตอบ ยอดหล้าหันมา “นั่นใคร"
ดารารายยืดตัว ดวงตามองหลวงเทพ แล้วเบือนมองยอดหล้า
“ข้าเอง เจ้าพี่"
“คิดว่าใคร เจ้านั่นเองดาราราย เข้ามาซี"
ดารารายก้าวเข้ามาในศาลา ดวงตามองหลวงเทพนิ่งอย่างสนใจ และระงับท่าที
“พี่เทพเจ้า นี่น้องข้าเจ้า ดาราราย"
หลวงเทพมอง มีอาการหยั่งๆ ไว้ตัวบางอย่าง ดารารายก็เชิดหน้า แต่ดวงตาวาววาม

เวลาต่อมา เรือหางแมงป่องแล่นล่องในแม่น้ำปิงกว้างใหญ่ ในเก๋งเรือ ยอดหล้าอยู่กับหลวงเทพ มีคนเรือ 2 นายคุมหัวคุมท้าย นางผัน นางเผื่อนชมนกชมไม้
ยอดหล้าดีดซึงเป็นเพลงดวงดาวท่อนหนึ่ง หลวงเทพล้วงมือไปในอกเสื้อ หยิบกระดาษฝรั่งออกมาคลี่
“อันใดหรือเจ้า"
“พี่ลองแต่งเนื้อเพลง สำหรับ เพลงซึงของเจ้านาง"
“ข้ารอฟังอยู่" ยอดหล้าสะเทิ้น
หลวงเทพยิ้มอ่านบทเพลง ดวงตาเปี่ยมรัก
“น้ำใจนางดุจดาวบนท้องฟ้า ในบางคราดาษดาพร่างเวหน พอจันทร์สายหายลับกลับเมืองบน ทอดทิ้งข้าหมองหม่นตามหาดาว"
ยอดหล้าสะเทิ้นอาย หลบตา นางผัน นางเผื่อนคิกคักตามประสา
“จบหรือยังเจ้า"
“เจ็บช้ำพักเก็บรักไว้ในอก ใจเจ้าเอยเพ้อพกช่างเหน็บหนาว รอเวลาเมื่อไรหนาเจ้าดวงดาว จะหวนคืนส่องสกาว ณ กลางใจ"
หลวงเทพยิ้มนิดๆ ดวงตาเปี่ยมรัก ยอดหล้าหลบตาลง นิ้วมือกรีดสายซึง

เรือนกาแลโบราณดูมืดทะมึนชั่วร้าย ท้องฟ้าเบื้องบนปั่นป่วน ฟ้าแลบแปลบปลาบ
บนโต๊ะหมู่บูชามหึมาบนเรือนครูบาสรี มีของขลัง และรูปเคารพในเชิงไสยศาสตร์ แน่นขนัด ดูลึกลับชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัว เทียนสีดำถูกจุดเรียงราย ธูปกำใหญ่ปล่อยควันโขมง ที่หน้าโต๊ะหมู่ ครูบาสรี เป็นนักบวชในผ้าคลุมสีเข้มจนเกือบดำ ดูทรงอำนาจ อายุราว 60 ปี มีเค้าของมหาจรวย ตรงข้ามครูบาสรี ดาราราย นั่งอยู่กับเจ้านางสร้อยคำ มารดา เป็นเจ้านางจากเชียงรุ่ง เป็นชายาองค์รองของเจ้าหลวงแสนอินทร์ ดูแข็งแกร่งจนกระด้าง ดารารายน้ำตาไหลพราก
“ท่านตา ข้าเจ้าปวดใจนัก ข้า.. ข้ารักหลวงเทพภักดีเจ้า"
“แต่หลวงเทพภักดีเป็นคู่หมั้นของยอดหล้า"
ครูบาสรียิ้มแสยะ
“ท่านน้า ท่านต้องช่วยลูกข้า อย่าให้ลูกข้าอกแตกตายเลยเจ้า"
“สิ่งที่เจ้าต้องการ หาใช่เรื่องยากไม่"
ฟ้าแลบสว่างเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ทาบลงบนร่างของทั้งสาม
ร่างดารารายเปลือยเปล่าอยู่ในอ่างทองเหลือง เต็มไปด้วยน้ำมันว่านสีแดง รอบด้านมีเทียนสีแดงมากมายเรียงราย ดารารายอ่านอาคม พลางลูบไล้ตัวเองอย่างยั่วยวน ทิพย์และทิม คอยตักน้ำมันว่านราดชโลมอยู่เป็นระยะ

ครูบาสรีอยู่ที่เรือน เอาสายสิญจน์ดำมัดหุ่นขี้ผึ้งชายหญิงประกบติดกันแนบแน่น แสงสีแดง

ที่เรือนรับรองกว้างใหญ่ จัดเตียงใหม่ไว้ 2 มุม มุมหนึ่งพระยาพิชิตชัยนอนหลับสนิท อีกมุมหลวงเทพภักดีนอนอยู่ ควันสีแดงโรยตัวลงจากเพดาน แสงสีแดงเรื่อทาบลงมาบนหน้าหลวงเทพภักดี หลวงเทพลืมตาขึ้น
ตรงลานกว้างหลังคุ้มเรือนนอนดาราราย นางผัน นางเผื่อนเดินระริกระรี้กันมา
“ข้าเห็นนะว่าเจ้าปั๋นจับมือถือดันเจ้า" ผันว่า
“ข้าก็เห็นเจ้าจูบเจ้าอินจนลิ้นปลิ้น" เผื่อนบอก
สองนางบริวารไม่มีใครแพ้ใครค้อนควักกันแล้วเห็นว่าท่ามกลางแสงเดือน มีร่างชายผู้หนึ่งลัดเลาะจากเงามืดใต้เรือน เหยียบอ่างบัวใหญ่ แล้วลอยตัวเข้าหน้าต่างเรือนหนึ่ง
ผัน และเผื่อนตาโตเท่าไข่ห่าน สบตากัน
“เจ้านางน้อยนัดผู้ชายเข้าหา"

ห้องนอนดารารายกว้างใหญ่ มีเครื่องเรือนงดงามสูงค่า กั้นเป็นส่วนนอก ส่วนใน ด้วยม่านปัก ที่ส่วนนอกมีเสียงทุบประตูโครมคราม นางทิพย์ นางทิมละล้าละลังเหลียวหน้าเหลียวหลัง
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิดเดี๋ยวนี้"
นางทิพย์ นางทิมตัดสินใจเปิดประตู เจ้าแสงอินทร์ถือดาบก้าวเข้ามาอย่างโกรธจัด ตามติดด้วยสร้อยคำ นอกประตูมีชายฉกรรจ์ถือดาบคุมเชิง ทิพย์ และทิมร้องไห้ คุกเข่าราบลง
เจ้าแสงอินทร์แหวกม่านเข้าไปด้านใน เห็นเตียงใหญ่สี่เสามีมุ้งบาง เจ้าแสงอินทร์ฟันมุ้งขาดกระจาย ดารารายที่เปลือยเปล่าผวาลุก เอามือตะปบผ้าห่มปิดอกไว้
“ดาราราย นังลูกชั่ว"
ข้างกายมีชายหนุ่มนอนตะแคงไม่รู้สึกตัว เจ้าแสงอินทร์โกรธจัดกระชากให้หันมา เห็นว่าคือหลวงเทพที่งัวเงียลุกขึ้น ตกใจแต่ก็เหมือนยังมึนงง เจ้าแสงอินทร์เงื้อดาบ
“นี่เจ้าเองหรือ"
“เจ้าพ่ออย่าเจ้า"
สร้อยคำห้าม “เจ้าพี่"
ดารารายผวาเข้าเอาร่างบังหลวงเทพ สร้อยคำเข้ายุดแขนเจ้าแสงอินทร์

ห้องนอนยอดหล้า ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของคุ้มน้อย ยอดหล้าจุดประทีบปักผ้าสไบอยู่ ฝีเข็มเส้นไหมงดงามเป็นระเบียบ ห่างออกมาที่หน้าต่าง เจ้านางหอมุก ชายาเอกของเจ้าแสงอินทร์ ดูสะสวย เปล่งปลั่ง อ่อนหวานจนดูอ่อนแอ กำลังมองออกไปภายนอก
“ผ้าผืนนี้ใช้ตอนใดดีเจ้าแม่ ตอนรดน้ำหรือตอนงานฉลองดี"
หอมุกแปลกใจ “เอ๊ะ"
“มีอันใดเจ้า"
“เรือนโน้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น"
มีเสียงคิกคักดังขึ้นก่อน ประตูห้องเปิดออก ผัน และเผื่อนมายอบตัวลง หูตาวาว
“แม่เจ้า เจ้านางเจ้า"
“เกิดเรื่องราวใหญ่แล้วเจ้า"
“เจ้ามีเรื่องโลกแตกอันใดมาบอกข้าอีก"
ผัน และเผื่อนหัวเราะคิก
“ทำไม เรือนโน้นเกิดเรื่องอันใด"
“เจ้านางน้อยเจ้า นางลักลอบนัดผู้ชายให้เข้าหาถึงห้องนอน" ผันบอก
“ข้าสองคนเห็นกับตา จึงไปทูลเจ้าหลวงเจ้า" เผื่อนเสริม
เจ้านางหอมุกยกมือทาบอก ยอดหล้าโกรธ 2 นางข้าไท
“เหลวไหล ดารารายไม่มีวันทำเช่นนั้น"
“ฮึ ข้าสองคนพูดคำจริงนะเจ้า มิได้โป้ปดมดเท็จ" ผันว่า
เผื่อนบอก “นี่เจ้าหลวงคงไปกุมตัวเจ้าแมวขโมยนั้นได้เจ้า ถึงได้เกิดอื้ออึงขนาดนี้"
มีเสียงดังจากหน้าประตู เป็นเสียงของเจ้าแสงอินทร์
“จะใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่หลวงเทพภักดี"
ยอดหล้าตัวชามองไป เห็นเจ้าหลวงแสงอินทร์เข้ามา มองดูอย่างเวทนาสงสาร ยอดหล้าลุกขึ้นช้าๆ เจ้านางหอมุกถลาไปหาสวามี นางผัน นางเผื่อนร้องอุทาน
หอมุกตกใจ “อันใดนะเจ้า เจ้าพี่พูดอะไรเจ้า"
“จริงหรือเจ้า เจ้าพ่อ"
“ยอดหล้าลูกเอ๋ย เกิดเรื่องงามหน้าขึ้นแล้ว เจ้าคุณพิชิตชัยเห็นว่ามีทางเดียวจึงจะแก้ไขเรื่องนี้ได้"
“หนทางใดเจ้า"
“หลวงเทพจะเข้าพิธีกับดารารายแทนเจ้า"
ยอดหล้าหน้าขาวเผือด ดวงตาเจ็บปวดรวดร้าว นั่งลงหยิบผ้าปักมากำแน่นจนเข็มทิ่มลงในเนื้อ เลือดหยดหยาดออกมา

ยอดหล้าใบหน้าขาวซีดไร้เครื่องประดับ ขี่เจ้าวายุตระบึงไปในแนวป่า พอกลับมาที่คุ้มยอดหล้าในเครื่องแต่งกายงดงาม ใบหน้าไร้ความรู้สึก ดีดซึงเป็นเพลงกล่อมหอ
ในคืนวิวาห์ ดาราราย และหลวงเทพนั่งอยู่บนเตียง ดารารายเอนซบ หลวงเทพตระกองกอดไว้
ยอดหล้าขี่ม้าตระบึงขึ้นเนินสูง แล้วกลับมาเล่นเพลงซึงกล่อมหอ น้ำตาเอ่อขึ้น ยอดหล้าเชิดหน้าให้น้ำตาแห้งเหือดไปในที่สุด
ไม่นานนักยอดหล้าล้มป่วยนอนแบบอยู่บนเตียง ดวงตาเจ็บช้ำ ดารารายมาเยี่ยมมองอยู่นอกม่าน นางผัน นางเผือน ทัดทานไม่ให้เข้าไป ดารารายกระทืบเท้า พูดจาเยาะเย้ย แล้วทรุดลงกราบกับพื้นอย่างประชดประชัน
เวลาต่อมาดารารายเดินจูงม้าวายุมาที่หลังคุ้ม บอกนางผัน นางเผื่อน เป็นเชิงว่า ยกม้านี้ให้แลกเปลี่ยนกับหลวงเทพ 2 นางบริวารเต้นเร่าๆ
ยอดหล้าขี่ม้ามาถึงเนินเขาสูงชัน ม้าวายุไปต่อไม่ไหว พยศ ยอดหล้าตกลงสู่พื้น ม้าวายุคล้ายสำนึกผิด เอาจมูกรุนร่างยอดหล้ายอดหล้าเซซังลุกขึ้นเดินต่อขึ้นเนิน
คณะทูต พระยาพิชิตชัย ผู้ติดตาม หลวงเทพ ดาราราย นางทิพย์ นางทิม อยู่ที่ท่าน้ำเพื่อขึ้นเรือลำใหญ่ มีเรือเล็กขนาบหลายลำ ดารารายระริกระรี้ มองมาที่คุ้มอย่างเยาะเย้ย ยอดหล้าแอบมองอยู่ข้างหน้าต่าง ดารารายขึ้นเรือไป หลวงเทพหันมามองทางคุ้ม ยอดหล้าแอบมองน้ำตาหยดริน หลวงเทพหันกลับไปขึ้นเรือ ยอดหล้าหันมาทรุดลง นางผัน นางเผือน หมอบจับเท้าร้องไห้ด้วยกัน
ยอดหล้าเซซังมาขึ้นม้าวายุตรงหลังคุ้ม นางผัน นางเผื่อนตาม วายุพยศชูขาหน้า นางผัน นางเผื่อนล้มกลิ้ง ยอดหล้าขี่ม้าหนีไป

ผาน้ำตกแห่งนั้นสูงลิบลิ่ว และเห็นน้ำตกไหลลงมาเป็นเส้นสีขาว เสียงดังซ่า ไม่ขากดระยะ ยอดหล้าก้าวมาหยุดอยู่เหนือผาน้ำตก ลมแรง พัดจนชายผ้าคล้องคอปลิวไสว ลมกระพือพัดจนมวยผมคลายหลุด ผมปลิวสยายไป เป็นผมที่ถ้าปล่อยลงจะยาวถึงข้อเท้า
ยอดหล้าใบหน้าซีดขาว ดวงตาสับสนถึงขีดสุด

ลมพัดมาอีกวูบ ผ้าคล้องคอปลิวไป ตกลงไปในธารน้ำ เจ้่านางยอดหล้ายิ้มเยาะตัวเอง แล้วขยับเท้าก้าวไปอย่างองอาจ ร่างงามหล่นวูบลงไปเบื้องล่าง  อ่านต่อ คุ้มนางครวญตอนที่ 5

 

 

 

ขอขอบคุณบทละครออนไลน์จาก http://www.manager.co.th/

 

 บทละครคุ้มนางครวญ, ละครคุ้มนางครวญ, อ่านละครออนไลน์, อ่านละครออนไลน์คุ้มนางครวญ, อ่านคุ้มนางครวญออนไลน์,คุ้มนางครวญ,คุ้มนางครวญคุ้มนางครวญออนไลน์

 

 

คลิปย้อนหลังคุ้มนางครวญ ทุกตอน

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น